นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า นโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลักยังมีแนวโน้มจะผ่อนคลายต่อไป และมีโอกาสจะผ่อนคลายเพิ่มขึ้น เช่น สหรัฐฯ ที่เคยมองว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในช่วงเดือน ก.ย. แต่ขณะนี้ก็ยังไม่ได้ปรับขึ้น ทำให้ตลาดไปจับตาในช่วงการประชุมเดือน ธ.ค.แทนว่าจะปรับขึ้นหรือไม่ เป็นต้น ดังนั้น เม็ดเงินในระบบยังมีโอกาสที่จะไหลเข้าประเทศเกิดใหม่
“ในระยะสั้นนี้ สภาพคล่องในตลาดโลกยังมีมากขึ้นต่อเนื่อง แน่นอนว่าบางส่วนจะต้องไหลเข้ามาในประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตดี คือ พวกตลาดเกิดใหม่ทั้งหลาย แต่ก็ไม่อยากให้คาดเดาว่าจะมีแต่ทิศทางไหลเข้าอย่างเดียว เพราะเวลาที่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทั้งในประเทศเรา หรือนอกประเทศ มันอาจทำให้ทิศทางของเงินทุนกลับทิศได้ หรือมีความผันผวนสูงขึ้น ตลาด sensitive กับข่าว"นายจาตุรงค์ กล่าว
ทั้งนี้ เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ทั้งตลาดพันธบัตรและตลาดทุนส่งผลทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่ยังอยู่ในทิศทางเดียวกับค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาค ส่วนในระยะต่อไปมองว่าความผันผวนของค่าเงินจะยังมีอยู่ โดยหากพิจารณาในส่วนของสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มจะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้นนั้น ก็จะยิ่งทำให้เม็ดเงินบางส่วนไหลเข้ามาสู่ตลาดเกิดใหม่มากขึ้น
“ในช่วงที่ผ่านมา เงินที่ไหลเข้าทำให้บาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับบางสกุล แต่เมื่อมองภาพรวมแล้วเงินบาทไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากเมื่อเทียบกับตะกร้าเงินของประเทศคู่ค้า"นายจาตุรงค์ กล่าว
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เห็นว่านโยบายการเงินของไทยยังควรอยู่ในระดับผ่อนปรนต่อเนื่อง และพร้อมจะใช้เครื่องมือเชิงนโยบายที่มีอยู่อย่างเหมาะสม เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ
ส่วนในปี 60 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ 3.2% เท่าที่เคยประเมินไว้ โดยการลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้นช่วยชดเชยการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่ลดลงได้ตามแนวโน้มเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า