นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.พาณิชย์ เผยการประชุมคณะอนุกรรมาธิการว่าด้วยการค้าและการลงทุน ไทย-จีน ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 26-27 ก.ย.ที่ผ่านมาเป็นไปด้วยบรรยากาศที่เป็นมิตร โดยเป็นการต่อยอดผลการหารือระหว่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีของไทย กับนายจาง เกาลี่ รองนายกรัฐมนตรีของจีน และนายหวัง หย่ง มนตรีแห่งรัฐ เมื่อเดือน มิ.ย.59
โดยไทยและจีนตกลงที่จะต่ออายุแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 5 ปีฉบับเดิมที่จะหมดอายุในปี 2559 ออกไปอีก 5 ปี (พ.ศ. 2560-2564) ซึ่งมีสาระครอบคลุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ 14 สาขา โดยจะจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ โดยในระยะ 1-2 ปีแรกจะเน้นนวัตกรรมของความร่วมมือในสาขาที่สองฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน และให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ ได้แก่ 1) โครงสร้างพื้นฐาน 2) อุตสาหกรรม 3) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 4) วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ 5) พลังงาน และให้มีการหารือสาขาความร่วมมือด้านอื่นๆ ในปีถัดไป ซึ่งแนวทางการจัดทำหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจนี้ จะเน้นความร่วมมือด้านนวัตกรรมที่จะสอดรับกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของจีน และยุทธศาสตร์ “ไทยแลนด์ 4.0" ของไทย
ทั้งนี้ สองฝ่ายจะเร่งหารือรายละเอียดโครงการ และกิจกรรมความร่วมมือต่างๆ ทั้งความร่วมมือระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล และความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจไทย-จีน ภายใต้แผนปฏิบัติการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5 (ระดับรองนายกรัฐมนตรี) ในเดือน ธ.ค.59 ต่อไป
นายสุวิทย์ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้สองฝ่ายได้หารือเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยไทยขอให้จีนเร่งรัดการนำเข้าค้าสินค้าเกษตร อาทิ ข้าว และยางพารา ภายใต้ MOU ความร่วมมือการค้าสินค้าเกษตร รวมทั้งขอให้ทั้งสองฝ่ายเร่งประสานการดำเนินงาน เพื่อให้สามารถส่งออกรังนกไทยไปจีนได้โดยเร็ว นอกจากนี้ยังมีการหารือเพื่อลดอุปสรรคของนักลงทุนไทยในจีน และอุปสรรคของนักลงทุนจีนในไทย ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนให้กันและกันต่อไป นอกจากนี้ฝ่ายจีนได้แสดงความสนใจในการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ หรือ Special Economic Zone (SEZ) และ เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC) ของไทยอีกด้วย
ปัจจุบันจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย โดยจีนเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 และเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ในขณะที่ไทยเป็นคู่ค้าลำดับที่ 13 ของจีนโดยเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 12 และแหล่งนำเข้าลำดับที่ 10 ของจีน ในปี 2558 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ารวม 65 พันล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับปี 2559 (ม.ค.-ก.ค.) มีมูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยกับจีน 36 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย ได้แก่ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ยางพารา เคมีภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น ในขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เคมีภัณฑ์ อุปกรณ์และส่วนประกอบรถยนต์ และผลิตภัณฑ์เหล็ก เป็นต้น