นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ให้ครอบคลุมและคล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะให้ครอบคลุมไปถึงภาคการเกษตร เนื่องในอดีตพ.ร.บ.ฉบับนี้จะเน้นภาคการผลิต ภาคการบริการ ภาคการค้า แต่ในอนาคตภาคการเกษตรจะอยู่ในพ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้วย โดยจะขยายคำนิยามของวิสาหกิจและองค์การเอกชนให้รวมถึงภาคการเกษตร เพราะปัจจุบันภาคเกษตรไม่ได้มีเฉพาะการเพาะปลูกอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการแปรรูปและกิจการใหม่ๆที่มาจากสินค้าเกษตรซึ่งปัจจุบันมีอยู่ถึง 8 หมื่นกิจการ และมีครัวเรือนที่ทำภาคการเกษตรอยู่ถึง 6 ล้านครัวเรือน และมีศักยภาพที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นกิจการวิสาหกิจภาคการเกษตรได้ ในพ.ร.บ.ฉบับนี้เมื่อปรับแล้วจะครอบคลุม ดูแล และส่งเสริมภาคการเกษตรที่หันมาทำเรื่องของการแปรรูปหรือกิจการภาคการเกษตร
ประเด็นต่อมา คือ การปรับเปลี่ยนคำนิยามเรื่องของ SMEs ซึ่งปัจจุบันจะมีคำนิยามเรื่องจำนวนแรงงาน จำนวนสินทรัพย์ถาวรสำหรับขนาดย่อมและขนาดกลาง โดยขนาดย่อมจะมีสินทรัพย์ถาวรไม่เกิน 50 ล้านบาท ส่วนขนาดกลางจะมีสินทรัพย์ถาวร 50-200 ล้านบาท
ขณะที่ด้านแรงงาน ขนาด 50-200 คนสำหรับขนาดกลาง ส่วนขนาดย่อมคือต่ำกว่า 50 คน ซึ่งในอนาคตเพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจมากขึ้น จะมีการให้คำนิยามที่เกี่ยวบรายได้หรือรายได้ที่ขายได้ว่าไม่เกินหนือไม่น้อยกว่าเท่าไหร่ เพราะบางบริษัทมีรายได้น้อยแต่สินทรัพย์เยอะ เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการส่งเสริม
นอกจากนี้ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวก็ได้มีการปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพิ่มเติมอำนาจให้สามารถบูรณาการงบประมาณของหน่วยต่างๆให้ทำงานร่วมกันได้ และปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหาร สสว.ไปพร้อมกันด้วย ซึ่งจะทำให้องค์กรแห่งนี้สามารถส่งเสริมวิสาหกิจขนาดและกลางและขนาดย่อมได้คล่องตัวขึ้น ให้ความสำคัญกับวิสาหกิจภาคการเกษตรได้ดีขึ้น และยังสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการผลิตของเมืองไทย