นายเจมส์ รามา ปัทมินทรวิภาส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ Channels & Digitalisation ธนาคารยูโอบี (ไทย) กล่าวว่า ธนาคารเดินหน้าสนับสนุนสตาร์ทอัพไทยทั้งในกลุ่มฟินเทค (FinTech) และกลุ่มอื่น ๆ ที่มีนวัตกรรม หรือแนวคิดการทำธุรกิจรูปแบบใหม่ โดยมีแพลตฟอร์มหลัก 3 ด้าน ได้แก่ จัดตั้งบ่มเพาะสตาร์ทอัพ (Training and mentorship), โอกาสในการระดมทุน (funding channels) และความแข็งแกร่งและศักยภาพของเครือข่ายในระดับภูมิภาค (Regional partnerships)
ทั้งนี้ การจัดตั้งแหล่งบ่มเพาะสตาร์ทอัพ ทางธนาคารก็ได้ให้ความร่วมมือในโครงการบ่มเพาะสตาร์อัพกลุ่มฟินเทค หรือ The Finlab โดยให้เงินสนันสนุนกว่า 30,000 เหรียญสิงค์โปร์ ซึ่งสตาร์อัพกลุ่มฟินเทคที่ผ่านการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการจะได้ไปร่วมอบรมที่สิงคโปร์ เป็นระยะเวลา 3 เดือน และได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความรู้ความชำนาญ ประสบการณ์ เครือข่ายธุรกิจ รวมถึงผู้บริหารยูโอบี ที่จะช่วยให้สตาร์ทอัพ สามารถปรับแผนธุรกิจและโครงสร้างรายได้ของธุรกิจได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังมีความสะดวกในการเริ่มต้นธุรกิจและการเข้าถึงเงินทุนรัฐบาล
นอกจากนี้ที่ผ่านมามีบริษัทไทยได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการที่สิงคโปร์แล้วจำนวน 1 ราย คือ stock to day จากทั้งหมด 8 บริษัท โดยธนาคารคาดหวังในปีหน้า จะมีสตาร์ทอัพไทยผ่านการคัดเลือกในโครงการนี้เพิ่มอีกประมาณ 2-3 บริษัท
ด้านโอกาสในการระดมทุน เป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญของสตาร์ทอัพในการขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโต ยูโอบีจึงได้จับมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการระดมทุน คือ การเปิดให้สตาร์ทอัพสามารถระดมทุนจากมวลชนผ่านระบบอินเตอร์เน็ต หรือ Crowdfunding ผ่านบริษัท OurCrowd และการให้บริการเงินกู้ในรูปแบบ Venture debt ผ่านบริษัท InnoVen Capital (InnoVen)
ปัจจุบันมี บริษัท Pomeleo ได้ระดมทุนในรูปแบบ Crowdfunding ไปแล้วในวงเงินจำนวน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ และก็ยังอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อระดมทุนเพิ่มอีก 2-3 ดีล
สำหรับ Crowdfunding ทางยูโอบีแม่ ได้ใส่เงินทุนทั้งสิ้น 10 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 350 ล้านบาท ไปในบริษัท OurCrowd โดยปัจจุบันมีสตาร์ทอัพที่อยู่ในระบบ 100 บริษัท และ มีการระดมทุนแล้วทั้งสิ้น 220 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 8 พันล้านบาท ซึ่งธนาคารคาดหวังปี 60 จะมีสตาร์อัพไทยเข้าไประดมทุนผ่าน Crowdfunding 2-3 บริษัท