นายสมบูรณ์ วีระวุฒิวงศ์ หัวหน้าหุ้นส่วนกรรมการอาวุโส และกรรมการบริหารสายงานภาษีและกฎหมาย บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนากฎหมายและภาษีประจำปีครั้งที่ 18 ภายใต้ชื่อ การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นผ่านการวางแผนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ ในหัวข้อ "การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงมาตรการจัดเก็บภาษีในระดับสากล"ว่า ปัจจุบันมาตรการด้านภาษีอากรทั่วโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หลายประเทศมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดเก็บภาษีของตนให้สอดคล้องกับมาตรฐานโลกและข้อกฎหมาย
โดยประเด็นที่หน่วยงานจัดเก็บภาษีอากรให้ความสนใจ ได้แก่ การปรับโครงสร้างทางธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การย้ายฐานภาษีของบริษัทข้ามชาติจากประเทศที่มีการจัดเก็บภาษีในอัตราสูงไปยังประเทศที่มีการจัดเก็บภาษีในอัตราต่ำ การทำธุรกรรมเกี่ยวกับการตั้งราคาโอน การจัดเก็บภาษีสำหรับธุรกรรมดิจิทัล และการเปิดเผยข้อมูล ตลอดจนการตรวจสอบภาษีอากร ซึ่งกรมสรรพากรของไทยก็ได้มีการติดตามและดำเนินการในเรื่องต่างๆ เป็นระยะเช่นกัน
"ผู้เสียภาษีต้องเตรียมตัวให้พร้อม หากกรมสรรพากรจะมีการกำหนดกฎหมายและกฎระเบียบใหม่ๆ รวมทั้งความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลงแนววิธีการตีความ และนำวิธีการตรวจสอบที่เข้มงวดและเคร่งครัดมาใช้บังคับ เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบธุรกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงไป" นายสมบูรณ์ กล่าว
สำหรับมาตรการภาษีที่มีการเปลี่ยนแปลงทั่วโลกและอาจส่งผลกระทบถึงภาคธุรกิจไทยนั้น ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบโครงสร้างทางธุรกิจของบริษัทข้ามชาติ เนื่องจากในปัจจุบันมีบริษัทข้ามชาติหลายรายถูกตั้งคำถามถึงจรรยาบรรณ และการเสียภาษีที่ถูกต้องและครบถ้วน ซึ่งกรณีดังกล่าว ทางกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ (G20) และองค์การเพื่อความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Cooperation and Development: OECD) ได้มีการริเริ่มมาตรการป้องกันการวางแผนทางภาษีที่มีผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายกำไรเพื่อไปเสียภาษีในประเทศที่ภาระภาษีต่ำกว่า (Base Erosion and Profit Shifting: BEPS) ซึ่งหนึ่งในแผนปฏิบัติการของ OECD คือ การตั้งราคาโอน โดยนำเสนอมาตรการ three-tiered approach ซึ่งเป็นการเปิดเผยข้อมูลการตั้งราคาโอนระหว่างกลุ่มบริษัทในเครือทั่วโลกมาใช้ ซึ่งบริษัทชั้นนำของไทยที่ได้มีการลงทุนในประเทศที่มีการนำกฎเกณฑ์นี้มาใช้บังคับ จะต้องจัดทำข้อมูลเสนอต่อหน่วยงานภาษีในประเทศนั้นด้วย
อย่างไรก็ดี แม้ปัจจุบันกรมสรรพากรไทยยังไม่ได้มีแผนที่จะนำมาตรการดังกล่าวมาใช้ในอนาคตอันใกล้ แต่ก็อยู่ระหว่างการกำหนดหลักเกณฑ์ร่างกฎหมายการตั้งราคาโอนฉบับใหม่ ซึ่งจะกำหนดรายละเอียดการเปิดเผยข้อมูลสำหรับธุรกรรมของบริษัทในเครือต่อกรมสรรพากรเช่นกัน นอกจากนี้ การที่หน่วยงานรัฐบาลและองค์การระหว่างประเทศกำลังร่วมมือกันเพื่อหามาตรการในการต่อต้านการกระทำที่มิชอบในการวางแผนเพื่อลดภาระภาษี ดังนั้นจึงจำเป็นที่ผู้เสียภาษีที่ประสงค์จะวางแผนภาษี จะต้องพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ในทางการค้า (Commercial) และเนื้อหาการดำเนินธุรกิจ (Substance) เป็นสำคัญเพื่อให้การวางแผนภาษีมีความโปร่งใสมากขึ้น
นายสมบูรณ์ กล่าวต่อว่า นอกจากข้อบังคับในการกำหนดราคาโอนระหว่างบริษัทในเครือแล้ว กรมสรรพากรยังได้เพิ่มมาตรการการตรวจสอบโดยวิธีการออกหมายเรียก (Summons Audit) มากขึ้น ซึ่งถือเป็นวิธีการตรวจสอบภาษีที่เข้มงวดกว่าการตรวจสภาพกิจการ (Business Operation Visit) และการตรวจเฉพาะประเด็น (Specific Tax Issue Audit) ที่เคยใช้อยู่เดิม เนื่องจากต้องการเน้นการตรวจสอบแบบเข้มข้น โดยกรมสรรพากรคาดหวังว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยทำให้การตรวจสอบมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งมาตรการนี้อาจส่งผลกระทบต่อผู้เสียภาษีหากถูกประเมินภายใต้หมายเรียกตรวจสอบ เนื่องจากจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้น
"มาตรการนำหมายเรียกการตรวจสอบภาษี ถือเป็นรูปแบบการตรวจที่เข้มงวดที่สุดของกรมสรรพากร ดังนั้นผู้เสียภาษีจะต้องเตรียมเอกสารต่างๆ ให้พร้อมสำหรับการตรวจสอบ เพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงในการเสียภาษีที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยมีแนวโน้มว่า มาตรการดังกล่าวจะถูกนำมาใช้มากขึ้น เพราะสรรพากรมีการตั้งหน่วยงานที่ดูแลการตรวจสอบโดยวิธีการออกหมายเรียกเป็นการเฉพาะ" นายสมบูรณ์ กล่าว
อย่างไรก็ดี ยังมีอีกประเด็นที่อยู่ในกระแสเมกะเทรนด์ของโลก คือ ความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยี หลังจากที่ธุรกิจก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล มีการทำธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายสินค้าออนไลน์ การทำธุรกรรมการชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ต และมือถือขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อทางการจัดเก็บภาษีในหลายๆ ประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ปัจจุบัน OECD เองอยู่ระหว่างศึกษารูปแบบการจัดเก็บภาษีผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบ
นายสมบูรณ์ กล่าวว่า ในส่วนของประเทศไทยนั้น หลังจากรัฐบาลประกาศนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล กรณีดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินชีวิตและธุรกิจในวงกว้าง ล่าสุดสถาบันการเงินก็พยายามนำเสนอการบริการทางการเงินรูปแบบใหม่ (FinTech) ที่ถูกพัฒนาและผลักดันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสของระบบการเงินของประเทศ ขณะที่กรมสรรพากรไทยก็อยู่ระหว่างพัฒนาระบบการจัดเก็บภาษีผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax filing) เพื่อให้สอดคล้องกับธุรกรรมดิจิทัลที่มีการเติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
"แม้ว่าในประเทศไทยจะยังไม่ได้นำมาตรฐานของ OECD เข้ามาใช้ แต่ผู้ที่เสียภาษีควรเตรียมความพร้อมในเรื่องของเอกสารต่างๆ ซึ่งผู้เสียภาษีต้องปรับตัวเพื่อปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ดังกล่าว เพื่อที่จะรองรับเมื่อบริษัทถูกออกหมายเรียกโดยเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร จากความเข้มงวดที่มากขึ้น และอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงวิธีการตีความ ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ" นายสมบูรณ์ กล่าว
นายสมบูรณ์ กล่าวต่อว่า กรมสรรพากร ร่วมมือกับสถาบันทางการเงิน เพื่อเป็นแนวร่วมในการจัดเก็บภาษี หรือที่ต่างประเทศเรียกว่า Tax Agent ในการจัดเก็บภาษีที่เป็นธุรกรรมผ่านระบบ Online ซึ่งอนาคตเชื่อว่ายังไงก็ต้องเกิดขึ้น เนื่องจากธุรกรรมผ่านระบบ Online มีมูลค่าสูงถึง 1,500-1,600 ล้านบาท และยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและในอัตราที่สูงด้วย แต่อย่างไรก็ตามต้องมีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง และมีการกำหนดแนวทางในการจัดเก็บภาษีให้มีความเข้าใจในแนวทางเดียวกัน
"ในอนาคตการทำธุรกรรมต่างๆผ่านระบบ Online จะมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในต่างประเทศเองได้มีการทำระบบตัวกลางในการเข้ามาเก็บภาษี หรือ Tax Agent ที่เป็นภาคเอกชนที่มีระบบด้าน IT การเชื่อมต่อและบุคลากร ที่มีความทันสมัย และรวดเร็วมากกว่า จะช่วยให้การจัดเก็บภาษีนั้นง่าย และสะดวกมากขึ้น ซึ่งถ้าหากเราไม่เปลี่ยนก็ยังเป็นจุดที่เป็นช่องว่างในการหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งเราก็เชื่อว่ายังไงจะต้องเกิดขึ้น แต่หากเกิดขึ้นจริงก็ควรมีการพูดคุยกับภาคเอกชนให้มีความเช้าใจ และมีทิศทางเดียวกัน"นายสมบูรณ์ กล่าว