นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังนายชิโร ซาโดชิมา เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย พร้อมนายทาเคฮิโร ยาซูมิ ผู้อำนวยการกองเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (ไจก้า) เข้าพบว่า ทางไจก้าได้มารายงานผลการศึกษาเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออกไปยังตะวันตก (East-West Corridor) ซึ่งผ่านไทยช่วง อ.แม่สอด จ.ตาก ไปยัง จ.มุกดาหาร
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของไจก้าได้ไปตรวจสภาพถนนทั้งหมดตามแนวเส้นทาง และแจ้งให้ทราบว่าเส้นทางช่วงที่อยู่ในประเทศลาวและเวียดนามต้องมีการปรับปรุง ส่วนถนนในประเทศไทยอยู่ในเกณฑ์ดีแล้ว พร้อมทั้งเสนอว่าหากจะให้ใช้ประโยชน์จากโครงการนี้ได้อย่างเต็มที่ควรต้องสร้างนิคมอุตสาหกรรมใหม่ที่ จ.ขอนแก่น หรือ จ.พิษณุโลก เพื่อเพิ่มความต้องการขนส่งสินค้า
นายสมคิด กล่าวว่า ได้แจ้งต่อไจก้าว่าการมีนิคมอุตสาหกรรมที่ จ.พิษณุโลก หรือ จ.ขอนแก่น คงไม่ใช่เหตุผลหลักของโครงการที่ต้องการสร้างความเชื่อมโยงจากเวียดนาม ลาว ไทย ไปสู่พม่าและอินเดีย ส่วนการสร้างนิคมอุตสาหกรรมเป็นเรื่องรองว่าจะใช้ประโยชน์จากเส้นทางเหล่านั้นอย่างไร ซึ่งจะต้องพิจารณาความเหมาะสมก่อน
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนก็ต้องการให้มีการสร้างนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ใน จ.ขอนแก่น ซึ่งปัจจุบันมีศูนย์กลางพลาสติกชีวภาพ (Bio Hub) อยู่แล้ว จึงไม่ใช่สิ่งที่ยากหากจะสร้างนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ขึ้นมาอีก แต่ขณะนี้ยังต้องการให้เกิดการพัฒนาเส้นทางช่วงลาวและเวียดนามก่อนเพื่อให้มีความต่อเนื่อง ไม่ควรจะรอว่าไทยจะสร้างนิคมอุตสาหกรรมใหม่ตามเส้นทางหรือไม่
นายสมคิด กล่าวถึงความร่วมมือในโครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางเหนือ-ใต้ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นนั้นยังคงเดินหน้าต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง แต่ต้องใช้เวลาในการศึกษาให้ชัดเจน ซึ่งกว่าจะเริ่มโครงการได้คาดว่าต้องรอประมาณ 1 ปี เป็นธรรมดาของการทำงานของญี่ปุ่นที่เน้นช้าแต่ชัวร์