นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ชี้แจงหลังมีข่าวว่าราคาข้าวเปลือกของไทยตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดข้าวและการส่งออกข้าวของไทยโดยรวมนั้นว่า สถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ผลิตและส่งออกข้าวสำคัญ อาทิ อินเดีย เวียดนาม และปากีสถาน รวมทั้งไทยเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ผลผลิตออกสู่ตลาดในช่วงที่มีพายุฝนทำให้ราคาข้าวปรับตัวลดลงแต่ยังอยู่ในระดับที่ทรงตัว
โดยข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทย ระบุว่า ผลผลิตข้าวไทยในฤดูนาปีนี้ยังไม่ได้ออกสู่ตลาดพร้อมกัน จึงเป็นโอกาสดีที่รัฐบาลไทยมีคำสั่งซื้อจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนและฟิลิปปินส์มารองรับ ในช่วงเดือน ต.ค. – ธ.ค. 2559 กว่า 2 แสนตัน จึงช่วยให้ราคาข้าวเปลือกยังทรงตัว มิได้ดิ่งลงดังที่เป็นข่าว
"เดิมคาดว่าผลผลิตข้าวไทยจะลดลงจากภัยแล้ง ตอนนี้ปริมาณกลับเพิ่มขึ้นเพราะมีฝน แต่ปริมาณไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมากมายจนผลผลิตล้นตลาด และที่สำคัญผลผลิตค่อย ๆ ทยอยออกมา ไม่ได้ออกมาทีเดียวหมด จึงไม่ได้ส่งผลให้ราคาตกต่ำอย่างที่มีความพยายามทำให้เกิดขึ้น จึงไม่อยากให้ตกใจกับการมโนเกินเลย อยากให้เอาความจริงมาพูดกันมากกว่า"นางดวงพร กล่าว
ในส่วนของแผนการตลาดข้าวไทย กรมการค้าต่างประเทศอยู่ระหว่างเร่งรัดการส่งมอบข้าวให้ฟิลิปปินส์ (NFA) ตามสัญญาที่ประมูลได้ก่อนหน้านี้ปริมาณ 1 แสนตัน และจีน (COFCO) ภายใต้สัญญา G to G งวดแรก 1 แสนตัน ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา COFCO ได้แจ้งรายชื่อเรือมารับมอบข้าวปริมาณ 1 แสนตัน ที่ตกลงขายไว้ในราคา 394 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน (50 กิโลกรัม) และ 399 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน (25 กิโลกรัม) ซึ่งเป็นราคาที่ดีที่จะช่วยกระตุ้นให้ราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรจะได้รับปรับตัวสูงขึ้น
และในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ จะนำคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนเดินทางเยือนประเทศคู่ค้าหลัก คือ มาเลเซียและอินโดนีเซีย เพื่อกระชับความสัมพันธ์และเจรจากับผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ของทั้งสองประเทศซึ่งเป็นตลาดข้าวขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพของไทยที่มีความต้องการนำเข้าข้าวในปริมาณมากมาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ คาดว่า NFA ของฟิลิปปินส์เตรียมจะเปิดประมูลข้าวเพิ่มอีก 250,000 ตัน ในเร็วๆ นี้ ซึ่งไทยจะเข้าร่วมการประมูลอย่างแน่นอน และหากชนะการประมูลก็จะมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าอีกปริมาณมาก เป็นผลดีต่อข้าวที่กำลังออกสู่ตลาดและจะเป็นแรงกระตุ้นการซื้อขายข้าวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 59
นางดวงพร กล่าวว่า กรมการค้าต่างประเทศ จะเดินหน้าขับเคลื่อนแผนตลาดเชิงรุกต่อไปเพื่อผลักดันการส่งออกข้าวไทยในช่วงต้นฤดู โดยจัดกิจกรรมส่งเสริมและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้าว ผลิตภัณฑ์ข้าว และนวัตกรรมข้าว ทั้งการเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ในประเทศต่างๆ อาทิ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง จีน ฟิลิปปินส์ และอยู่ระหว่างการเชิญผู้แทนจากประเทศอิรักและอิหร่านเดินทางเยือนไทยเพื่อสร้างความมั่นใจให้กลับมานำเข้าข้าวจากไทยอีกครั้ง หลังจากที่ไทยสูญเสียสองตลาดนี้ไปในช่วงรัฐบาลที่ผ่านมา
นอกจากนี้ กรมการค้าต่างประเทศมีกำหนดจะจัดงาน Thailand Rice Convention 2017 ระหว่างวันที่ 28-30 พ.ค.60 ซึ่งจะมีผู้ค้าข้าวจากประเทศลูกค้าหลักทั่วโลกมาร่วมงาน ภายใต้แนวคิดการส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อยกระดับและเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวไทย โดยภายในงานประกอบด้วยการประชุมสัมมนาเชิงวิชาการ การจัดนิทรรศการให้ความรู้และส่งเสริมประชาสัมพันธ์ข้าวไทย รวมทั้งการเจรจาซื้อขายทั้งภาครัฐและภาคเอกชนด้วย
"รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ได้เร่งดำเนินการในทุกด้านเพื่อผลักดันให้ข้าวไทยมีโอกาสทางการตลาดในทุกรูปแบบจึงขอให้ผู้ประกอบการถ่ายทอดข้อมูลที่เป็นจริงสู่ตลาด เพื่อประโยชน์ต่อเกษตรกรและสถานการณ์ข้าวไทยโดยรวมด้วยอีกทางหนึ่ง"นางดวงพร กล่าว
นางดวงพร กล่าวต่อถึงการเปิดประมูลข้าวในสต๊อกรัฐบาลว่า จะยังไม่เปิดประมูลในช่วงนี้ เนื่องจากผลผลิตข้าวฤดูกาลใหม่กำลังออกสู่ตลาด โดยล่าสุดมีข้าวคงเหลืออยู่ในสต๊อก 8.4 ล้านตัน ซึ่งในจำนวนนี้ 50% เป็นข้าวที่สามารถนำมาประมูลเป็นการทั่วไปได้ ส่วนอีก 50% จะประมูลเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม ทั้งที่บริโภคได้และบริโภคไม่ได้
สำหรับการส่งออกข้าวของไทยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-18 ต.ค.59 อยู่ที่ 7.9 ล้านตัน ลดลง 8.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่ารวม 126,000 ล้านบาท ลดลง 8.4% โดยราคาข้าวขาว 5% ของไทยตันละ 372 เหรียญสหรัฐฯ ลดลง 6% ขณะที่ราคาข้าวข้าว 5% ของเวียดนามตันละ 348 เหรียญสหรัฐฯ อินเดียตันละ 350 เหรียญสหรัฐฯ