นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมฯ มอบหมายให้ สคร.ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เร่งจัดทำแผนยุทธศาสตร์รัฐวิสาหกิจ 5 ปี ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 โดยน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้เพื่อเป็นแผนแม่บท (Roadmap) ที่ชัดเจนในการพัฒนารัฐวิสาหกิจต่อไป โดยให้นำเสนอที่ประชุมฯ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาโดยเร็ว
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้รับทราบความคืบหน้าการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ 7 แห่ง ได้แก่ 1.ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ในส่วนของการปล่อยสินเชื่อใหม่และยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) โดยข้อมูล ณ เดือนกันยายน มีกำไรประมาณ 1,400 ล้านบาท ส่วน NPL ประมาณ 18,000 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการที่ดีขึ้นจะให้ที่ประชุมฯ ประเมินอีกครั้งภายในสิ้นปีนี้
2.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ในการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) การเพิ่มทุนเพื่อปรับโครงสร้างทางการเงิน และการเร่งหาพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการบริการสินเชื่ออิสลาม
3.องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในเรื่องการปฏิรูปการเดินรถโดยสารทั้งระบบ โดยให้กรมการขนส่งทางบกเป็นผู้กำกับดูแล ส่วน ขสมก.เป็นเพียงผู้ให้บริการเดินรถเท่านั้น พร้อมทั้งเร่งจัดหารถโดยสารที่มีคุณภาพ นำร่องใช้รถโดยสารไฟฟ้า ซึ่งจากผลศึกษาเบื้องต้นสามารถเพิ่มการให้บริการจาก 208 เส้นทางเป็น 269 เส้นทาง ซึ่งสามารถเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมอื่นๆได้ด้วย
คนร.มอบหมายให้ ขสมก.เร่งจัดหารถโดยสารที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอและประเมินความคุ้มค่าของรถแต่ละประเภท รวมทั้งนำร่องให้นำรถไฟฟ้ามาใช้และมีการวิจัยพัฒนาเพื่อต่อยอดต่อไป ตลอดจนให้ขสมก. แยกแก้ไขปัญหาออกเป็น 2 ส่วน ทั้งการแก้ไขปัญหาหนี้ที่มีอยู่เดิมและการสร้างรายได้ในอนาคต โดยกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน
4.บมจ.การบินไทย (THAI) มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการหารายได้และสร้างความสามารถในการแข่งขันจนทำให้มีผลประกอบการดีขึ้นเป็นลำดับ ส่วนการนำระบบ RMS มาใช้นั้นได้ทดลองกับเส้นทางการบินไปออสเตรเลียแล้วสามารถสร้างรายได้เพื่มขึ้น 50%
5.การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มอบหมายให้รฟท.สร้างความชัดเจนถึงอำนาจหน้าที่และพิจารราดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ให้สอดคล้องกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ มีการกำหนดขอบเขตพื้นที่เบื้องต้นที่จะใช้ในการจัดทำแผนการพัฒนาที่ดินให้แล้วเสร็จในเดือน พ.ย.59 จากพื้นที่ทั้งหมด 39,000 ไร่ แบ่งเป็น ที่ว่าง 23,000 ไร่ พื้นที่ให้เช่า 16,000 ไร่ และที่ดินบุกรุก 256 ไร่ โดยมอบหมายให้ รฟท. นำเสนอในการประชุมครั้งหน้า
6.บมจ.ทีโอที และ 7.บมจ.กสท โทรคมนาคม ให้เร่งจัดตั้งบริษัทลูกที่รัฐถือหุ้น 100% จำนวน 3 บริษัท ได้แก่ โครงข่ายบรอดแบนด์ภายในประเทศ โครงข่ายบรอดแบนด์ระหว่างประเทศ และศูนย์ข้อมูลอินเตอร์เน็ต เพื่อให้สามารถเริ่มประกอบกิจการได้ภายในเดือน ก.ค.60
นอกจากนี้ที่ประชุมฯ กำหนดเป้าหมายการดำเนินงานและกรอบระยะเวลาตามแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรของรัฐวิสากิจทั้ง 7 แห่ง และมอบหมายให้กระทรวงการคลังนำแผนการแก้ไขปัญหาองค์กรดังกล่าวไปใช้ประกอบการจัดทำตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายในการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจในปีงบ 60 ด้วย
นายเอกนิติ กล่าวว่า ที่ประชุมฯ ได้รับทราบความคืบหน้าการยกร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ ซึ่งผ่านความเห็นชอบจาก ครม.ไปแล้ว และอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้ผลักดันร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ภายในเดือน ธ.ค.59
ส่วนการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐ (Multi-Stakeholder Group) สำหรับโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) นั้น ที่ประชุมฯ รับทราบมติ ครม.ที่เห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งคณะกรรมการเปิดเผยข้อมูลโครงการก่อสร้างภาครัฐฯ เพียงคณะเดียว โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน
ที่ประชุมฯ ยังเห็นชอบในหลักการการกำหนดทักษะ ความรู้ ความเชี่ยวชาญของกรรมการรัฐวิสาหกิจ (Skill Matrix) เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณาสรรหากรรมการรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับความต้องการและสมรรถนะหลักของแต่ละรัฐวิสาหกิจ โดยให้แต่ละรัฐวิสาหกิจจัดทำ Skill Matrix ที่จำเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ เพื่อเสนอคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจและกระทรวงเจ้าสังกัดพิจารณาก่อนส่งให้ที่ประชุมฯ ภายใน 30 ธ.ค.59