น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เชื่อว่า การส่งออกของไทยโดยรวมในปีนี้จะดีกว่าที่หลายหน่วยงานประเมินไว้ว่าจะติดลบ 2% โดยยังคงคาดว่าปีนี้การส่งออกของไทยจะอยู่ในช่วง -1 ถึง 0% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.12-2.14 แสนล้านดอลลาร์ และยังมีโอกาสจะเติบโตเกิน 0% หรือพลิกเป็นบวกได้เล็กน้อย เนื่องจากแนวโน้มการส่งออกแต่ละเดือนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้มีโอกาสจะเป็นบวกได้
"เรามั่นใจว่าการส่งออกในไตรมาสสุดท้ายจะเป็นบวกทุกเดือน แม้จะไม่มาก หรือปริ่มๆ 0% ซึ่งทั้งปีเชื่อว่าการส่งออกจะไม่ติดลบไปถึง 2% ตามที่หลายหน่วยงานคาดการณ์ไว้แน่นอน" น.ส.พิมพ์ชนก กล่าว
อย่างไรก็ดี หากจะให้การส่งออกในปีนี้พลิกกลับมาเป็นบวกได้นั้น การส่งออกตั้งแต่ต.ค.-ธ.ค. จะต้องได้มูลค่าต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 18,000 ล้านดอลลาร์
สำหรับปัจจัยบวกที่สำคัญซึ่งมีผลต่อการสนับสนุนการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ คือ ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันและความต้องการของตลาดโลก, มูลค่าการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันน่าจะเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มราคาน้ำมันช่วง พ.ย.-ธ.ค.นี้, ค่าเงินบาทอ่อนลงอย่างมีนัยยะ โดยคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยก่อนสิ้นปี, ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกในช่วงที่เหลือมีแนวโน้มอยู่ในกรอบที่จำกัด เพราะเชื่อว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จะไม่สร้างเงื่อนไขให้มีความผันผวนต่อเศรษฐกิจโลก, เศรษฐกิจจีนเติบโตได้ดีกว่าที่คาด
น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวด้วยว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามสำหรับการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้และต่อเนื่องถึงปีหน้า คือ การออกมาตรการ QE และมาตรการทางการเงินของประเทศต่างๆ ซึ่งอาจจะมีผลต่อราคาน้ำมันและอัตราแลกเปลี่ยน, เศรษฐกิจยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐ ยังฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด อีกทั้งยังไม่มีความชัดเจนเรื่องการปรับดอกเบี้ยของเฟดที่อาจชะลอออกไป นอกจากนี้ ประเทศต่างๆ มีแนวโน้มดำเนินมาตรการกีดกันการค้าเพิ่มขึ้น
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า มั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นโดยเฉพาะเรื่องการส่งออก ประกอบกับการนำเข้าก็ดีขึ้นอย่างน่าพอใจเช่นกัน ซึ่งทำให้มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายจะดีขึ้นและต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้าด้วย
สำหรับเรื่องสินค้าเกษตรและภาคเกษตรนั้น กระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยได้มีการหยิบยกขึ้นหารือในเวทีโลกหลายเวที ประกอบกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินว่าราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น แต่กระทรวงพาณิชย์จะไม่นิ่งนอนใจ เพราะช่วงปลายปีนี้ผลผลิตจะออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศก็เติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยบริษัทเอกชนไทยที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศช่วงปี 48-58 มีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 9 เท่า ซึ่งการออกไปลงทุนดังกล่าวถือเป็นการสร้างรายได้ให้บริษัทในไทย และนำมาซึ่งการขยายการผลิตในประเทศไทย ดังนั้นการเติบโตของการออกไปลงทุนนอกประเทศจึงไม่ได้หมายความว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจในประเทศไม่เติบโต เพียงแต่ต้องมีมาตรการส่งเสริมมากขึ้นให้สามารถนำผลกำไรกลับเข้ามาภายในประเทศได้มากกว่าปัจจุบัน
น.ส.พิมพ์ชนก กล่าวด้วยว่า ในเร็วๆ นี้กระทรวงพาณิชย์จะเชิญผู้ประกอบการอีก 2 กลุ่ม คือ อิเล็กทรอนิกส์ และโลจิสติกส์มาหารือ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่สำคัญที่จะสามารถเชื่อมโยงการทำการค้าภายในภูมิภาคนี้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปมีบทบาทช่วยเหลือทั้งการยกระดับผู้ประกอบการ และการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง