นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์เพื่อกำกับดูแลการนำผ่านสินค้าไม้ 2 ฉบับ ได้แก่ 1.ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ไม้ท่อน ไม้แปรรูป และสิ่งประดิษฐ์ของไม้ชิงชันและไม้กระพี้เขาควาย และสิ่งประดิษฐ์ของไม้พะยูง เป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ.2559 ซึ่งจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป คือ ในวันที่ 2 พ.ย.59
และ 2.ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ไม้ท่อน ไม้แปรรูป และสิ่งประดิษฐ์ของไม้บางประเภทเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการนำผ่านราชอาณาจักร พ.ศ. 2559 ซึ่งจะมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 30 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป คือ ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.59 กำหนดให้สินค้าไม้ท่อน ไม้แปรรูป และสิ่งประดิษฐ์ของไม้ประเภทอื่นๆ สามารถนำผ่านได้ แต่ต้องนำผ่านทางด่านศุลกากรที่มีด่านป่าไม้หรือมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้อยู่ด้วย ต้องมีหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O)
ทั้งนี้ สำหรับไม้ท่อนและไม้แปรรูปจะต้องมีหนังสือรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) และใบเบิกทางกำกับไม้มาแสดงประกอบการนำผ่าน และหากเป็นไม้ท่อนและไม้แปรรูปที่เป็นไม้พะยูงจะต้องมีเอกสารการอนุญาตให้นำผ่านจากกรมวิชาการเกษตรด้วย อย่างไรก็ดี สิ่งประดิษฐ์จะครอบคลุมเฉพาะตู้, โต๊ะ, เตียง, เก้าอี้, บานประตู, บานหน้าต่าง, ไม้วงกบ, ไม้คิ้ว และไม้บัว รวมถึงไม้ประสาน, ไม้ปาร์เกต์, ไม้ปูพื้นรางลิ้นรอบตัว และไม้โมเสก ตามขนาดที่กรมป่าไม้กำหนดเท่านั้น
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า การกำหนดมาตรการข้างต้นนั้น เนื่องจากไม้เป็นสินค้าที่มีมาตรการห้ามนำเข้า หรือมาตรการกำกับดูแลการนำเข้า-ส่งออกตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดมาตรการห้ามนำผ่านหรือจัดระเบียบการนำผ่าน โดยเฉพาะไม้หวงห้ามประเภทไม้ชิงชัน, ไม้กระพี้เขาควาย และไม้พะยูง เพื่อให้การขนส่งสินค้าผ่านแดนเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและรัดกุม เพื่อเป็นการคุ้มครองและรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศได้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
นอกจากนี้ ขณะนี้กรมการค้าต่างประเทศอยู่ระหว่างการทบทวนแก้ไขประกาศกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้พระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับลดขั้นตอนและลดระยะเวลาในการปฏิบัติงานให้ประชาชนได้รับความสะดวก และได้รับบริการที่รวดเร็วยิ่งขึ้นตามนโยบายรัฐบาล และเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทการค้าในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป