ภาวะตลาดเงินบาท: บาทปิด 34.98/35.00 คาดกรอบต้นสัปดาห์หน้า 34.95-35.05 จับตาเลือกตั้งปธน.สหรัฐ

ข่าวเศรษฐกิจ Friday November 4, 2016 17:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เปิดเผยว่า ปิดตลาดเย็นนี้เงินบาทอยู่ที่ระดับ 34.98/35.00 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าเล็กน้อยจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 34.94/96 บาท/ดอลลาร์

ตลอดทั้งวันนี้เงินบาทยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ตลาดให้ความสำคัญกับปัจจัยการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้าวันที่ 8 พ.ย. ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศที่จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นั้น ตลาด คาดว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิมที่ 1.50%

"วันนี้เงินบาทแกว่งแคบๆ ตลาดโฟกัสไปที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะเป็นตัวด drive ค่า เงินที่สำคัญ ส่วนบ้านเราที่จะมีประชุม กนง.กลางสัปดาห์หน้านั้น คาดว่าจะคงดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม" นักบริหารเงิน ระบุ

นักบริหารเงิน คาดว่า ต้นสัปดาห์หน้าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 34.95 - 35.05 บาท/ดอลลาร์

  • ปัจจัยสำคัญ
  • เย็นนี้เงินเยนอยู่ที่ระดับ 102.93 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 102.92 เยน/ดอลลาร์
  • ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1090 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1100 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,485.70 จุด ลดลง 7.38 จุด (-0.49%) มูลค่าการซื้อขาย 50,837 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 1,477.31 ลบ.(SET+MAI)
  • นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า หลังจากธนาคารโลก (World Bank) เปิดรายงาน Doing
Business 2017 จัดลำดับความยากง่ายในการทำธุรกิจ ซึ่งไทยได้อันดับ 46 จากทั้งหมด 190 ประเทศ ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา 3
อันดับ โดยตั้งเป้าว่าการประเมินในปีหน้าจะต้องได้อันดับที่ดีขึ้น คาดหวังให้ไทยติดอยู่ใน 30 อันดับแรกให้ได้
  • รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา ประเมินสถานการณ์การท่องเที่ยวไตรมาส 4/59 คาดว่าจะมีรายได้จากการท่องเที่ยว
จำนวน 609,616 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.28% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
จำนวน 389,884 ล้านบาท และรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทยท่องเที่ยวภายในประเทศ จำนวน 219,731 ล้านบาท ดังนั้นคาดว่า
จะมีรายได้รวมจากการท่องเที่ยวในปี 2559 จำนวน 2,486,282 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ 2.4 ล้านล้านบาท คิดเป็น 4%
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ
1.50% ต่อเนื่อง ในการประชุมวันที่ 9 พ.ย.นี้ เพื่อรอประเมินปัจจัยต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น สัญญาณการฟื้นตัวของ
เศรษฐกิจไทยในช่วงเหลือของปีนี้และปีหน้า, ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ รวมไปถึงท่าทีการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ
ของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ซึ่งคงจะทยอยมีรายละเอียดและความชัดเจนมากขึ้นหลังการ
เลือกตั้งวันที่ 8 พ.ย.นี้
  • สถาบัน Ifo ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจของเยอรมนี เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาส 4 เพิ่มขึ้นสู่
ระดับ 116.8 จากระดับ 111.6 ในไตรมาส 3 ซึ่งในภาพรวมปรับตัวดีขึ้น แต่ยังคงมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนหากพิจารณาเป็น
รายประเทศ ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจระยะ 6 เดือน ปรับตัวขึ้นในเกือบทุกประเทศ ยกเว้นฝรั่งเศส ลัตเวีย และโปรตุเกส
  • ฟิทช์ เรทติ้งส์ จัดสถานะความน่าเชื่อถือของดอยซ์แบงก์ไว้ที่ "มีแนวโน้มจะถูกลดอันดับ (negative watch)" โดย
ระบุว่า ฟิทช์อาจปรับลดอันดับเครดิตสากลระยะยาว (Long-term Issuer Default Rating - IDR) ของธนาคารดอยซ์แบงก์
ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ระดับ 'A' หากทางธนาคารไม่สามารถสร้างเงินเพิ่มได้

อย่างไรก็ดี ปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจโดยเฉพาะในยุโรปและเอเชีย อาจทำให้ดอยซ์แบงก์ประสบกับความยากลำบากใน การหารายได้ และในการบรรลุเป้าหมายตามกลยุทธ์ของทางธนาคาร นอกจากนี้ อาจได้รับแรงกดดันจากค่าใช้จ่ายเรื่องการดำเนิน คดีและเรื่องอื่นๆในทางกฎหมายด้วย

  • มาร์กิต อิโคโนมิคส์ ซึ่งเป็นบริษัทสำรวจข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการ
ผลิตและบริการของยูโรโซนเดือนต.ค. อยู่ที่ระดับ 53.3 เมื่อเทียบกับตัวเลขเบื้องต้นที่ 53.7 และตัวเลขเดือนก.ย.ที่ 52.6 ขณะที่
ดัชนี PMI ภาคบริการเพียงอย่างเดียวปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52.8 ในเดือนต.ค. จากระดับ 52.2 เมื่อเดือนก.ย.

มาร์กิตระบุว่า เศรษฐกิจยูโรโซนขยายตัวเร็วขึ้นในเดือนต.ค. โดยมีผลผลิตเพิ่มขึ้นรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. หลังธุรกิจใหม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับปริมาณงาน และการจ้างงาน

  • นักลงทุนติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในคืนนี้ เช่น ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือน ต.

ค., ดุลการค้าเดือน ก.ย. ขณะที่สัปดาห์หน้าปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจ คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่

ส่วนปัจจัยในประเทศสัปดาห์หน้า คือ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งตลาดยังคงคาดว่า กนง.จะยังคงอัตรา

ดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50% เพื่อรอประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจจากทั้งในและต่างประเทศ ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ