นายมนตรี โสคติยานุรักษ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาโทการจัดการภาครัฐและเอกชน (MPPM) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่แทนนายบารัค โอบามา ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 พ.ย.นี้ โดยมีนายโดนัลด์ ทรัมป์ และนางฮิลลาลี คลินตัน ลงสมัครชิงตำแหน่ง ซึ่งมองว่าไม่ว่าผู้นำสหรัฐคนใหม่จะเป็นใครจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ เนื่องจากนโยบายของทั้ง 2 พรรคต่างชูนโยบายเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาว่างงานที่ยังมีความเสี่ยงกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ทำให้ผู้เข้าลงสมัครต่างเร่งชูนโยบายที่เร่งให้เกิดการจ้างงานที่มากขึ้นผ่านนโยบายการคลัง
โดยนายทรัมป์ใช้มาตรการลดภาษีนิติบุคคลจาก 35% เหลือ 10% เพื่อเป็นแรงจูงใจภาคเอกชนลงทุนก่อให้เกิดการจ้างงงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แม้มีความเสี่ยงที่จะเพิ่มภาระทางการคลังและกระทบต่อการจัดสรรงบประมาณสมดุล ขณะที่นางคลินตันเน้นพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานและกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือนเพื่อผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ส่วนประเด็นการค้าที่สหรัฐฯ ประสบปัญหาจากความนิยมซื้อสินค้านำเข้าจากจีนและเม็กซิโกที่มีราคาถูกกว่าสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ ทำให้ภาคการผลิตภายในประเทศสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับปัญหาการย้ายฐานการผลิตส่งผลกระทบต่อรายได้ของรัฐบาล การจ้างงานและการส่งออก ทำให้นายทรัมป์ มีแนวทางสนับสนุนมาตรการกีดกันทางการค้าด้วยมาตรการภาษี โดยคิดภาษีที่นำเข้าสินค้าจากจีนที่ 45% และเม็กซิโก 35% รวมถึงกำหนดภาษีนำเข้าทั้งหมดจากประเทศต่างๆ เป็น 20% และยุติการเจรจาการค้ารอบใหม่ หรือดำเนินมาตรการกับประเทศที่ละเมิดข้อตกลงทางการค้าที่ส่งผลกระทบต่อการค้าของสหรัฐ
ทั้งนี้ หากสหรัฐฯ มีความขัดแย้งกับจีนในประเด็นการค้าที่รุนแรง จะส่งผลกระทบเชิงลบกับอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศสหรัฐฯ เนื่องจากจีนมีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกและเป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐฯ โดยมีสัดส่วนส่งออกไปจีน 7.7% และนำเข้าสินค้าอยู่ที่ 21.5% และอาจลุกลามไปสู่สงครามการค้าที่กระทบต่อเศรษฐกิจโลกในที่สุด
ขณะที่นางคลินตัน เลือกใช้แนวทางการขับเคลื่อนการบริโภคภายในประเทศ ที่มีสัดส่วน 68.8% ของ GDP โดยการลดภาษีให้กับบริษัทที่ตั้งโรงงานในประเทศ ซึ่งหากประสบความสำเร็จจะมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ เศรษฐกิจโลกและการส่งออกของประเทศคู่ค้าที่ได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นการบริโภคในประเทศสหรัฐจากการดำเนินนโยบายดังกล่าว
"ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ เป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวต่อเศรษฐกิจโลก ที่อาจลุกลามไปสู่สงครามการค้าที่ถือเป็นมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ของเศรษฐกิจโลก ที่ทุกฝ่ายต่างจับตามองว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ผู้ชนะจะเป็นใคร เนื่องจากการดำเนินนโยบายของทั้ง 2 ฝ่ายมีความต่างกันที่ชัดเจน" นายมนตรี กล่าว
ผู้อำนวยการหลักสูตร MPPM มองว่า การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ต่อจากนี้ สามารถเลือกใช้นโยบายการคลังและการเงินเพื่อการบริหารได้ทั้งคู่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ หากใช้นโยบายการคลังจะเป็นภาระของรัฐบาลในการเลือกใช้งบประมาณและภาษีเป็นกลไกขับเคลื่อน ขณะที่นโนบายการเงินเป็นภาระของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ใช้ดอกเบี้ยนโยบายเป็นตัวกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและบรรยากาศการลงทุนรวมถึงนโยบายเศรษฐกิจของประเทศประกอบกัน อย่างไรก็ตาม หากนางคลินตัน เป็นฝ่ายชนะจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อกำลังซื้อภาคครัวเรือน รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อ จึงมีความเป็นไปได้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งหน้า
"เชื่อว่าหลังเลือกตั้ง เศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ จะดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้า รวมถึงประเทศไทยที่มีสัดส่วนการค้ากับสหรัฐฯ มากถึง 10% จะได้รับอานิสงส์ไปด้วย และควรใช้โอกาสนี้สร้างบรรยากาศดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้าไทยเพิ่มขึ้น เพราะผู้สมัครทั้งสองฝ่ายมีท่าทีไม่สนับสนุนข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิคหรือ TPP ทำให้ไทยคลายความกังวลต่อการลงทุนของต่างชาติที่มีแนวคิดย้ายฐานการผลิตไปเวียดนามเบาบางลงได้ โดยภาครัฐต้องเร่งรัดเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนของภาครัฐ เพื่อเสริมขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศไทยให้ดีขึ้น ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้ายของปีนี้และปี 2560" นายมนตรี กล่าว