นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า กรมธุรกิจพลังงาน ปรับเพิ่มสัดส่วนการผสมน้ำมันไบโอดีเซล (B100) ในน้ำมันดีเซล เป็น 5% หรือ B5 จากเดิมที่ผสมอยู่ในสัดส่วน 3% หรือ B3 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย.นี้ โดยจากการพยากรณ์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดือนพ.ย.-ธ.ค. จะมีผลผลิตปาล์มดิบออกมาประมาณ 90,000 ตัน/เดือน ส่งให้ปริมาณน้ำมันดิบคงเหลือสูงขึ้น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์คาดว่าจะมีสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ประมาณ 2.8-3 แสนตัน/เดือน จากเดิมอยู่ที่ระดับ 2 แสนตัน/เดือน ซึ่งเป็นปริมาณที่สูงไม่ส่งผลกระทบต่อน้ำมันปาล์มเพื่อการบริโภค
อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีผลผลิตปาล์มออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ทำให้มีปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้น ทำให้ในช่วงนี้จึงสามารถขยับเป็น B5 ได้ ส่วนจะปรับขึ้นไปเป็น B7 เมื่อใดนั้น คงต้องรอดูสถานการณ์ผลผลิตปาล์มอีกครั้ง เนื่องจากพบว่าในช่วงปลายปีผลผลิตจะลดลง แต่ในช่วงต้นปีจะมีผลผลิตปาล์มออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ดังนั้น หากมีสต็อกเพิ่มสูงขึ้นก็อาจปรับเป็น B7 โดยจะพิจารณาอีกครั้งในเดือนม.ค.60
"การปรับสัดส่วนไบโอดีเซลเป็น B3 และสถานการณ์ผลผลิตปาล์มน้ำมันที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้มีปริมาณสต็อกคงเหลือในเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2559 มากขึ้น ทำให้ประเทศไทยผ่านพ้นจากภาวะวิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำมันปาล์ม และมีปริมาณน้ำมันปาล์มเหลือจากการบริโภคมากเพียงพอ ที่จะมีการปรับเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล"นายวิฑูรย์ กล่าว
นายวิฑูรย์ กล่าวอีกว่า การปรับเพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซลเป็น B5 จะทำให้การใช้ไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นอีกอีกประมาณเดือนละ 37 ล้านลิตร หรือคิดเป็นปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบสำหรับผลิตเป็นไบโอดีเซลเพื่อใช้ในภาคพลังงานเพิ่มขึ้นอีกประมาณเดือนละ 27,000 ตัน จากเดิมที่เป็น B3 มีการใช้ประมาณเดือนละ 41,818 ตัน เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 68,818 ตัน เมื่อเป็น B5
ก่อนหน้านี้ กรมธุรกิจพลังงาน ได้ออกประกาศปรับลดสัดส่วนผสมไบโอดีเซลจากน้ำมัน B7 เป็น B5 เมื่อวันที่ 25 ก.ค.59 แต่สถานการณ์ราคาผลปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มดิบยังทรงตัวอยู่ในเกณฑ์สูง ดังนั้น เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพราคาและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันพืชสำหรับการบริโภค ในครั้งนั้น กรมธุรกิจพลังงานจึงได้ปรับลดสัดส่วนผสมไบโอดีเซลลงจาก B5 เป็น B3 ซึ่งมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 25 ส.ค.59 แต่ในขณะนี้สถานการณ์ผลผลิตปาล์มดิบได้คลี่คลายลงแล้ว