นายปรเมธี วิมลศิร เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ปี 60 จะเติบโตราว 3.0-4.0% จากในปี 59 ที่น่าจะเติบโตราว 3.2% จากเดิมคาดเติบโตในช่วง 3.0-3.5% หรือเฉลี่ยที่ 3.3%
ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้จนถึงปี 60 คือ 1.แนวโน้มการกลับมาขยายตัวอย่างช้า ๆ ของภาคการส่งออก ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ดีขึ้น 2.แนวโน้มการฟื้นตัวและการขยายตัวเร่งขึ้นของการผลิตในภาคการเกษตร ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน 3.การลงทุนภาครัฐที่ขยายตัวในเกณฑ์ดีอย่างต่อเนื่อง และ 4.แรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ดี
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนที่มาจากรายจ่ายการลงทุนภาครัฐที่มีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้น โดยโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม 20 โครงการ วงเงิน 1.41 ล้านล้านบาท เริ่มก่อสร้างสร้าง 4 โครงการ วงเงิน 45 พันล้านบาท กำลังประกวดราคา 9 โครงการ วงเงิน 487 พันล้านบาท คืบหน้าชัดเจนในปี 2559 ซึ่งการดำเนินการและเบิกจ่ายจะเร่งตัวขึ้นในปี 2560 ขณะเดียวกัน คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) เห็นชอบร่างแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พ.ศ.2560-2564 วงเงิน 7.13 แสนล้านบาท (เป็นโครงการเร่งด่วนในปี 2560 รวมท 48 โครงการ วงเงิน 6,992.7 ล้านบาท)
รวมทั้งมีแรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยวที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งแม้จะคาดว่าไตรมาส 4/59 การท่องเที่ยวอาจจะชะลอตัวในระยะสั้น เนื่องจากนักท่องเที่ยงกังวลเรื่องการปฏิบัติตน และกิจกรรมช่วงไว้ทุกข์ และผู้ประกอบการกังวลเรื่องปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่ทั้งนี้คาดว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวและขยายตัวในเกณฑ์ดีในปี 2560 โดยประเมินว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยว 35.6 ล้านคน เพิ่มขึ้น 8% ชะลอลงจากฐานที่สูงในปี 2559 โดยในแง่ของรายได้การท่องเที่ยวคาดว่าในปี 2560 จะอยู่ที่ 1.95 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2559 ซึ่งอยู่ที่ 1.76 ล้านล้านบาท
ส่วนข้อจำกัดปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ ความเสี่ยงด้านความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก สถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรป ซึ่งต้องติดตามทิศทางและแนวนโยบายของสหรัฐฯ ในช่วงหลังการเลือกตั้ง ตลอดจนผลการลงประชามติรัฐธรรมนูญในอิตาลี การเลือกตั้งในฝรั่งเศส และเยอรมนี, การใช้อำนาจมาตรา 50 ของสหราชอาณาจักรในเดือน มี.ค.60 ภายหลังจากการลงประชามติแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) และแนวโน้มผลการเจรจา รวมทั้งปัญหาความอ่อนแอของสถาบันการเงินในยุโรป และปัญหาภาคการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน
สำหรับการบริหารเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2559 และ 2560 นั้น นายปรเมธี เห็นว่า ควรให้ความสำคัญกับ 5 ด้านที่สำคัญ คือ 1.การเพิ่มประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อรักษาแรงขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ประกอบด้วย เบิกจ่ายงบลงทุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีและงบลงทุนรัฐวิสาหกิจให้ได้ไม่ต่ำกว่า 80% และเบิกจ่ายงบเหลื่อมปีให้ได้ไม่ต่ำกว่า 75% ควบคู่กับการดำเนินโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งและการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญๆ ทั้งการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน
2.การรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจจากภาคการท่องเที่ยว โดยการดำเนินการตามยุทธศาสตร์แผนการตลาดท่องเที่ยวปี 2560 การชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการทัวร์ศูนย์เหรียญ การประชาสัมพันธ์กิจกรรมท่องเที่ยว และการรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ
3.การสนับสนุนและเร่งรัดการส่งออกให้สามารถกลับมาขยายตัว โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการส่งออกของไทยปี 2560 โดยเฉพาะการขยายตลาดส่งออกเชิงรุก การตลาดที่สอดคล้องกับกลุ่มตลาดเป้าหมาย การส่งเสริมการค้าชายแดนเชื่อมโยงประเทศใน CLMV การสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการด้วยการใช้นวัตกรรม และการติดตามและระมัดระวังมาตรการกีดกันทางการค้าในต่างประเทศ โดยเฉพาะภายใต้แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของกระแสการต่อต้านการค้าที่ไม่เป็นธรรมในประเทศสำคัญๆ
4.การฟื้นฟูเกษตรกรและการเตรียมมาตรการรองรับการขยายตัวของการผลิตทางการเกษตร โดยให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนการผลิต การส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ การปลูกพืชและการใช้วิธีการผลิตที่มีความเหมาะสมกับสภาพของพื้นที่ และการลดขั้นตอนทางการตลาด เพื่อให้รายได้จากการจำหน่ายผลผลิตเป็นของเกษตรกรมากขึ้น
5.การสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน โดยการเร่งรัดการส่งออกเพื่อลดกำลังการผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรม การชักจูงนักลงทุนในสาขาเป้าหมายการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการสำหรับอนาคต การประชาสัมพันธ์ความคืบหน้าของโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง รวมทั้งการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกและพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน การอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนที่ย้ายฐานการผลิตเข้ามายังประเทศไทย และการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับ Roadmap ทางการเมือง รวมทั้งเจตนารมณ์และสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาทางการเมืองและการปฏิรูปประเทศภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติ
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้ เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวว่า สาเหตุที่ปีนี้มอง GDP จะขยายตัว 3.2% ซึ่งลดลงมาเล็กน้อยจากเดิมที่คาดไว้ที่ 3.3% เนื่องจากมองว่าในไตรมาส 4/59 เศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากยังไม่แน่ใจสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะต้องรอประเมินผลกระทบให้ชัดเจนก่อน ประกอบกับฐานในปีก่อนเร่งตัวค่อนข้างดี
"โดยรวมเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ไม่แรงเท่าไตรมาส 3 แต่ทั้งนี้ระดับ 3.2% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีและเป็นแนวทางที่การเติบโตต่อเนื่องกับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในการจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเดินต่อไปข้างหน้า ซึ่งได้เห็นความชัดเจนแล้วว่าเศรษฐกิจไทยเริ่มโตเป็นลำดับ โดยในปี 57 ที่โต 0.8% ส่วนปี 58 โต 2.8% และมา 3.2% ในปี 59" นายปรเมธี กล่าว
สำหรับปี 60 ยังมีความจำเป็นจะต้องรักษานโยบายด้านการเงินการคลังให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งในปัจจุบัน มองว่ายังไม่มีความผิดปกติของเศรษฐกิจโลกที่จะมากระทบกับไทยเป็นพิเศษ จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องออกมาตรการพิเศษเพิ่มเติม