นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และโฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ร่วมกับสมาคมบริษัทจัดการพลังงานไทย (ThaiESCO) จัดทำโครงการเสริมสร้างศักยภาพด้านการอนุรักษ์พลังงานในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) ภายใต้รูปแบบบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) เพื่อให้คำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือในการดำเนินมาตรการอนุรักษ์พลังงานที่ต้องใช้เทคนิคขั้นสูง และเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระความเสี่ยงด้านเทคนิคและด้านการเงินของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี อันที่จะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน พร้อมเสริมสร้างความแข็งแกร่งของศักยภาพการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจุบันจำนวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีจำนวนเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่โตขึ้น และจากการสำรวจและติดตามสถานประกอบการโรงงานอุตสาหกรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ส่วนใหญ่ยังไม่ได้มีการดำเนินมาตรการอนุรักษ์พลังงานเท่าที่ควร เนื่องจากมีปัญหาและอุปสรรคในด้านเทคนิค บุคลากร และเงินทุน
สำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าว เริ่มจากการจัดฝึกอบรมให้กับกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสมาคมบริษัทจัดการพลังงานไทย กว่า 50 สถานประกอบการ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการทำโครงการอนุรักษ์พลังงานภายในรูปแบบ ESCO จากนั้นทำการคัดเลือกผู้ประกอบการเพื่อเข้าดำเนินโครงการไม่น้อยกว่า 3 ราย พร้อมจัดทำรายงานการประเมินความเหมาะสม รวมถึงจัดทำแผนแม่บท (Master Plan) เพื่อวางแผนในการขยายผลโครงการอนุรักษ์พลังงานในกลุ่มเอสเอ็มอี และจัดให้มีงานสัมมนาเพื่อเผยแพร่ผลการดำเนินโครงการเพื่อสร้างความเข้าใจการพัฒนาต่อยอดโครงการฯ และสุดท้าย ESCO จะเข้าไปให้คำปรึกษาเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ
ผลการดำเนินโครงการให้กับกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีนั้น มีผู้ประกอบการ 4 ราย ที่สามารถดำเนินการตามมาตรการประหยัดพลังงาน คือ บริษัท แซนด์แอนด์ชอยล์ อุตสาหกรรม จำกัด, บริษัท ยูเนี่ยนลิงค์ จำกัด, บริษัท อุตสาหกรรมอำนวยไชย จำกัด และ บริษัท มหาจักรอุตสาหกรรม จำกัด โดยได้ดำเนินมาตรการด้านอนุรักษ์พลังงานในรูปแบบของ ESCO ได้แก่ การใช้มอเตอร์ไฟฟ้าชนิดประสิทธิภาพสูง, การลดขนาดและใช้มอเตอร์ไฟฟ้าชนิดประสิทธิภาพสูง, มาตรการจัดการการเดินเครื่องทำความเย็นขนาดใหญ่ (Chiller) ให้เหมาะสม และมาตรการปรับปรุงระบบท่อเมนจ่ายลมระบบอากาศอัด ซึ่งมาตรการเหล่านี้ช่วยให้ผู้ประกอบการลดการใช้พลังงาน และมีผลตอบแทนให้เพิ่มเติม
นอกจากนี้ยังได้มีการจัดทำ “แผนแม่บท ESCO – SMEs master plan" เพื่อใช้ในการวางแผนขยายผลโครงการอนุรักษ์พลังงานในกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ภายใต้รูปแบบ ESCO โดยได้แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 4 ช่วง เริ่มตั้งแต่ ปี 2559 เป็นช่วงของการเตรียมการจัดการแผนแม่บทฯ และวางแผนการขับเคลื่อนกิจกรรม หลังจากนั้นช่วงปี 2560-2561 เป็นช่วงการเตรียมความพร้อมและพัฒนาโครงการนำร่อง ESCO – SMEs for EERS ซึ่งจะเป็นช่วงการพัฒนารูปแบบกลไก รวมถึงพัฒนารูปแบบการทำสัญญาระหว่าง ESCO กับ 3 การไฟฟ้า ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
ต่อจากนั้น ปี 2561-2562 เข้าสู่ช่วงของการพัฒนารูปแบบการส่งเสริมการลงทุนผ่านรูปแบบกลไกสนับสนุนทางการเงิน “กองทุนร่วม EERS Revolving Fund" รวมถึงการดำเนินการปรับปรุงโครงการนำร่อง และช่วงสุดท้าย ปี 2564-2565 เป็นช่วงการติดตาม พิสูจน์ผลประหยัด ทั้งนี้ แผนแม่บทฯ ได้ตั้งเป้าหมายมุ่งให้เกิดการประหยัดพลังงานได้ 10 ktoe (พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ) จากโครงการนำร่อง และสามารถขยายผล ESCO-SMEs for EERS เชิงพาณิชย์ให้บริการกับผู้ให้บริการด้านพลังงาน
"การจัดทำโครงการฯ นี้ เพื่อต้องการนำความเป็นมืออาชีพของ ESCO มาจัดการและสร้างองค์ความรู้ให้กับกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ทำให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายการดำเนินการด้านอนุรักษ์พลังงานระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในการพัฒนาโครงการอนุรักษ์พลังงาน และมั่นใจในการลงทุนเพื่อเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ รวมทั้งยังเป็นการแบ่งเบาภาระความเสี่ยงด้านเทคนิคและด้านการเงินของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สร้างความเชื่อมั่นและความสนใจให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ผ่านกลไกบริษัทจัดการพลังงาน เพื่อให้เกิดการบูรณาการและเพิ่มศักยภาพการจัดการด้านพลังงาน ภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน (EEP 2015) และ แผนพัฒนาพลังงงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (AEDP 2015)"นายทวารัฐ กล่าว