พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบต่ออายุสัญญาสัมปทานการขุดเจาะและผลิตปิโตรเลียมเลขที่ 1/2534/36 แปลงสำรวจหมายเลข B8/32 นอกชายฝั่งทะเลจังหวัดชุมพรและสุราษฎร์ธานี ให้กับบริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และคณะ ออกไปอีก 10 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.63 - 31 ก.ค.73 ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
"สัญญาสัมปทานเดิมจะหมดในปี 2563 เขาขอต่อสัญญาออกไปอีก 10 ปี เป็นการต่อสัญญาตามข้อผูกพันที่มีต่อกัน" พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
สำหรับแปลงสัมปทานปิโตรเลียมดังกล่าวมีกำลังการผลิตน้ำมัน 2.6 หมื่นบาร์เรล/วัน และก๊าซธรรมชาติ 180 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ขณะที่ประเทศไทยมีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ 5 พันล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน และความต้องการใช้น้ำมัน 1 ล้านบาร์เรล/วัน
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การต่อสัญญาสัมปทานครั้งนี้จะดึงน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ยังหลงเหลืออยู่ขึ้นมาได้อีกราว 148 ล้านบาร์เรล ซึ่งหากไม่มีการต่อสัญญาฯ สัดส่วนผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ 63% และเชฟรอนฯ 37% แต่เมื่อต่อสัญญาแล้วสัดส่วนผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับเพิ่มเป็น 71% และเชฟรอนฯ เหลือ 29%
"หลายคนอาจสงสัยว่าแล้วบริษัทฯ จะทำทำไมเมื่อผลประโยชน์ลดลง เพราะเวลานี้การขุดเจาะสำรวจไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกเป็นเช่นนี้ แต่เพื่อการดำรงอยู่ของบริษัทฯ ต่อไปแม้จะได้ผลประโยชน์ลดลง" พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การอนุมัติต่ออายุสัมปทานครั้งนี้ รัฐบาลขอผลตอบแทนพิเศษจากเอกชน 3 ประการ คือ 1.โบนัสจากการลงนามจำนวน 5 แสนเหรียญสหรัฐ โดยให้ชำระภายใน 30 วันนับจากวันลงนามต่อสัญญา 2.โบนัสจากการผลิตในอัตรา 1% ของมูลค่าปิโตรเลียมที่ขายได้จริงตลอดอายุสัญญา 10 ปี หรือมีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1.25 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 3.การจัดทำโครงการพัฒนาชุมชนปีละ 1 แสนเหรียญสหรัฐ เป็นระยะเวลา 10 ปี เริ่มปี 2561