นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มีกำหนดเดินทางไปเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย – จีน (The Meeting of the Joint Committee on Trade, Investment and Economic Cooperation between Thailand and China หรือ JC เศรษฐกิจ) ครั้งที่ 5 ในวันที่ 9 ธ.ค. 59 โดยจะเป็นประธานร่วมกับ นายหวัง หย่ง มนตรีแห่งรัฐ แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน และในโอกาสนี้ จะพบปะหารือกับนักธุรกิจและนักลงทุนสำคัญของจีน เพื่อเดินหน้าสร้างความมั่นใจในศักยภาพและความพร้อมของไทยในการรองรับการลงทุนจากจีน
การประชุม JC เศรษฐกิจ ไทย-จีน เป็นกลไกการหารือเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน ในระดับรองนายกรัฐมนตรี เพื่อกำหนดทิศทางความร่วมมือด้านเศรษฐกิจด้านต่างๆ สำหรับการประชุมครั้งนี้มีความสำคัญมาก เนื่องจากสองฝ่ายมีเจตนารมณ์ที่จะกระชับความสัมพันธ์ด้านต่างๆ ให้แน่นแฟ้น ในฐานะหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ
นางอภิรดี กล่าวว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนกำลังเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน คือ เน้นการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและยั่งยืน ให้ความสำคัญกับความเชื่อมโยงด้านต่างๆ และการพัฒนาการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม และ ICT/digital ไทยและจีนสามารถร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ที่สองประเทศมีความสนใจและผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะแนวคิด One-Belt One-Road ที่ไทยพร้อมใช้จุดแข็งของไทยในด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ที่ตั้ง ร่วมมือกับจีนในการขยายความร่วมมือด้านต่างๆ อาทิ การเชื่อมโยงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ยกระดับการพัฒนา/ความเชื่อมโยง digital economy การขนส่ง โลจิสติกส์ การยกระดับภาคการผลิต และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ทั้งนี้ ไทย-จีน มียุทธศาสตร์ connectivity ที่สอดรับกันของจีน คือ One belt one road คู่ไปกับ One belt one ray ภายใต้นโยบาย Internet Plus ส่วนของไทยคือ ยุทธศาสตร์ระบบราง EEC ควบคู่กับยุทธศาสตร์ digital economy transformation รวมถึงการพัฒนาให้ไทยก้าวสู่การเป็น leading Digital Hub หรือ E Hub. ของ ASEAN ที่จะช่วยขับเคลื่อน Thailand 4.0 โดยสองฝ่ายสามารถขยายความร่วมมือต่างๆ ไปยัง CLMV และอาเซียน โดยไทยพร้อมเชื่อมโยงจีน – อาเซียน จีน – อินเดีย และจีน – เอเชียใต้
รายงานข่าวกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ในการประชุมครั้งนี้ รมว.พาณิชย์ จะลงนามเอกสารเพื่อต่ออายุแผนพัฒนาเศรษฐกิจไทย-จีน ระยะ 5 ปี รวมถึงแผนปฏิบัติการร่วม ซึ่งระบุสาขาความร่วมมือหลัก 5 สาขา ได้แก่ 1) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (ถนน ระบบราง maritime) 2) การพัฒนาคลัสเตอร์อุตสาหกรรม 3) การพัฒนาความเชื่อมโยงด้านดิจิทัล/อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง และอีคอมเมิร์ช 4) ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ 5) พลังงาน ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศและเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจในเชิงลึกต่อไป
นอกจากนี้ น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ จะลงนามร่วมกับบริษัท อาลีบาบา กรุ๊ป จำกัด เพื่อต่อยอดความร่วมมือด้านการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของ SMEs ไทยให้สามารถดำเนินธุรกิจผ่านช่องทางการค้าออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และก้าวสู่เศรษฐกิจยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นคง สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนประเทศตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 และ Digital Economy เพื่อสังคมอีกด้วย
ทั้งนี้ ในเบื้องต้นอาลีบาบาจะให้พื้นที่สำหรับสินค้าไทย 100 แบรนด์ชั้นนำในการขายผ่านเว็บไซต์ alibaba.com โดยไม่คิดค่าธรรมเนียม 12 เดือน ซึ่งขณะนี้กระทรวงพาณิชย์อยู่ระหว่างการคัดเลือกสินค้าไทย 100 แบรนด์ ซึ่งจะมีทั้งกลุ่มอาหาร กลุ่มของใช้ของที่ระลึก ที่เป็นนิยมของลูกค้าชาวจีน และนักท่องเที่ยว คาดว่า จะเริ่มดำเนินการได้ในไตรมาสแรก ปี 60 โดยจะไม่เสียค่าธรรมเนียมในปีแรก
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ตนเองจะลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ร่วมกับอาลีบาบา ครอบคลุมความร่วมมือ 4 ด้าน ระยะเวลาดำเนินงานในปี 60 ได้แก่ 1.การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เอสเอ็มอีไทย และพัฒนาระบบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของไทย ตั้งเป้าหมาย 30,000 ราย คาดว่า ภายใน 1 ปี เอสเอ็มอีเหล่านี้จะได้รับการพัฒนาศักยภาพให้ทำการค้าออนไลน์ได้ไม่น้อยกว่า 10,000 ราย 2.อาลีบาบา กรุ๊ป จะให้การสนับสนุนอบรมบุคลากรไทย 10,000 รายในด้านดิจิทัล เทคโนโลยี และให้การอบรมแก่ผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลอีก 1,000 ราย รวมถึงผลักดันแอพพลิเคชั่นที่ผลิตโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัลนี้สู่ตลาดจีนผ่านอาลีบาบา คลาวด์ มาร์เก็ต เพลส (Alibaba Cloud Market Place) 3.การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ โดยอาลีบาบา กรุ๊ป และลาซาด้ากรุ๊ปพร้อมที่จะให้คำแนะนำกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย ในการขยายระบบเตรียมการฝากสินค้าในประเทศผ่านแอพพลิเคชั่น “พร้อม โพสต์" (Prompt Post) ให้ใช้งานครอบคลุมทุกจังหวัด และจะศึกษาระบบการจัดการคลังสินค้าและการให้บริการ และ 4.การดึงอาลีบาบากรุ๊ปมาร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก และพัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านดิจิทัลของอาเซียน
ปัจจุบันจีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย โดยจีนเป็นตลาดส่งออกอันดับ 2 และเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ในขณะที่ไทยเป็นคู่ค้าลำดับที่ 13 ของจีน โดยเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 12 และแหล่งนำเข้าลำดับที่ 10 ของจีน ในปี 2558 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ารวม 65 พันล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับปี 2559 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าการค้ารวมระหว่างไทยกับจีน 54 พันล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย เช่น เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ยางพารา เคมีภัณฑ์ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เป็นต้น ในขณะที่ไทยนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เคมีภัณฑ์ อุปกรณ์และส่วนประกอบรถยนต์ และผลิตภัณฑ์เหล็ก เป็นต้น