นายศานิต นิยมาคม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์การ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า การพัฒนาโรงไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้เป็นไปตามยุทธศาสตร์และแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP2015) เพื่อสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงการจัดหาแหล่งพลังงานไฟฟ้าหลักและเชื้อเพลิงพลังงานที่เหมาะสมมีเสถียรภาพมั่นคง รวมถึงใช้เทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สำหรับราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลงอย่างรวดเร็วในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซใกล้เคียงกับถ่านหินนำเข้า ซึ่ง กฟผ. ได้ติดตามและประเมินอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เพราะ กฟผ.จำเป็นต้องทบทวนลำดับการผลิตโรงไฟฟ้า (Merit Order) และแผนการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์
ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่และโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาที่มีแผนการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2564 – 2565 ซึ่งช่วงดังกล่าวจะมีการนำเข้า LNG มาใช้ผลิตไฟฟ้าในปริมาณสูงมากและจะมีต้นทุนค่าไฟฟ้าสูงกว่าถ่านหินนำเข้า หากคิดที่โรงไฟฟ้าขนาดกำลังผลิต 1,000 เมกะวัตต์ ต้นทุนค่าไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าถ่านหินจะถูกกว่าประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อปี และจากการคาดการณ์ราคาเชื้อเพลิงในอนาคต แม้จะประเมินโดยสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญก็ตามก็ไม่อาจจะยืนยันได้ตามนั้น
ดังนั้นเรื่องสำคัญที่สุดตามหลักสากลประเทศต่างๆ ใช้หลักการกระจายความเสี่ยงโดยการใช้เชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าที่มีความหลากหลาย โดยมีสัดส่วนเฉลี่ยของประเทศต่างๆ ในโลกในการใช้ถ่านหินประมาณร้อยละ 30 ขึ้นไป และใช้ก๊าซประมาณร้อยละ 20 – 25 จึงทำให้หลายประเทศยังคงมีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ประเทศที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของโลกอย่าง เยอรมัน ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลี หรือแม้แต่ มาเลเชีย ซึ่งมีแหล่งก๊าซธรรมชาติจำนวนมาก ยังเลือกใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าถึงร้อยละ 30 – 40 เพราะมีต้นทุนถูกกว่า และยังส่งก๊าซธรรมชาติออกไปขายนอกประเทศเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันมีสัดส่วนการใช้ถ่านหินเพียงไม่ถึงร้อยละ 12 จึงจำเป็นต้องกระจายสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศ
กฟผ. สนับสนุนให้มีการพัฒนาพลังงานทดแทนเพื่อช่วยลดก๊าซเรือนกระจกควบคู่ไปกับพลังงานหลักที่มั่นคงเชื่อถือได้ รวมทั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินที่นำมาใช้เป็นระบบ Ultra Super Critical (USC) ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้ถึงร้อยละ 30 ซึ่งได้บรรจุไว้ในแผนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยตามที่ได้ให้สัตยาบันไว้ในการประชุม COP 21 ซึ่ง กฟผ. ตระหนักเสมอว่าการดูแลชุมชนและสิ่งแวดล้อมถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยมีการติดตั้งเครื่องกำจัดมลสารที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง เพื่อควบคุมให้ดีกว่ามาตรฐานสากลที่องค์การอนามัยโลกกำหนด ตลอดจนให้ชุมชนมีส่วนร่วมตรวจสอบการดำเนินงาน เพื่อแสดงความโปร่งใสและสร้างความมั่นใจให้กับชุมชน
“กฟผ. ยินดีรับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากทุกฝ่ายที่เป็นข้อเท็จจริงและเป็นเหตุเป็นผล โดยเน้นการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าของประเทศ รวมถึงคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและยึดมั่นในประโยชน์โดยรวมเป็นสำคัญ” นายศานิต กล่าว