นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ อธิบดีกรมพัฒนาทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยว่า พพ.ได้กำหนดแนวทางการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน และพลังงานทางเลือกในปี 60 เพื่อให้เป็นไปตามแผน AEDP 2015 โดยได้กำหนดเป้าหมายสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในปี 60 เพิ่มขึ้นเป็น 14.5% ของการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย เพิ่มขึ้นจากปี 59 ซึ่งอยู่ 13.8% และมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกให้เป็นไปตามเป้าหมายได้
ในปี 60 จะผลักดันการใช้พลังงานทดแทน ทั้งใน 3 ลักษณะ คือ 1) การใช้พลังงานทดแทนในภาคการผลิตไฟฟ้า จะมีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนแบบประมูลแข่งขัน ทั้ง VSPP และ SPP มีการผลักดันให้โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนผลิตไฟฟ้าให้เต็มประสิทธิภาพ 2)การใช้พลังงานทดแทนในภาคความร้อน จะส่งเสริมให้มีการใช้เชื้อเพลิงพลังงานทดแทน เช่น ไม้สับ เชื้อเพลิงอัดเม็ด ขยะอัดเม็ด ในโรงงานอุตสาหกรรม และ 3)การใช้พลังงานทดแทนในรูปแบบเชื้อเพลิงชีวภาพ (เอทานอลและไบโอดีเซล) จะมีการผลักดันให้มีการใช้เพิ่มมากขึ้น
นายประพนธ์ กล่าวว่า แม้ว่าพลังงานทดแทนเป็นพลังงานที่มีต้นทุนสูงกว่าพลังงานหลัก แต่เมื่อคิดคำนวณถึงประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับ ทั้งในด้านการใช้วัตถุดิบที่สามารถหาได้ภายในประเทศ ช่วยลดการสูญเสียเงินตราออกนอกประเทศ รวมทั้งยังสามารถลดมลภาวะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ ถือได้ว่ามีความคุ้มค่า ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งพลังงานที่ได้ยังสามารถนำมาใช้พัฒนาประเทศ เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม การที่ พพ.ได้มีโครงการต่างๆ เข้าไปสนับสนุนและส่งเสริมชุมชนทั่วประเทศที่มีศักยภาพของวัตถุดิบ เพื่อนำมาสู่การผลิตเชื้อเพลิงพลังงานทางเลือก ส่งผลให้ปัจจุบันชุมชนต่างๆ เริ่มหันมาให้ความสำคัญ และเกิดการเรียนรู้ที่จะพัฒนาชุมชนของตนเอง และยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยพลังงานทดแทนที่หาได้ในท้องถิ่น สามารถลดการใช้พลังงานหลักในระยะยาวได้ ซึ่งจะส่งผลให้ลดการสูญเสียเงินตรา ทั้งในด้านการจัดซื้อเชื้อเพลิง เครื่องจักรและอุปกรณ์จากต่างประเทศ ทำให้ประเทศมีความมั่นคงด้านพลังงาน