นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ภาคเอกชนได้เสนอไปยัง รมว.คลัง ให้ยายระยะเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักรายจ่ายในลักษณะของค่าเสื่อมราคาได้ 2 เท่าของรายจ่าย เพื่อการลงทุนหรือต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการ โดยเป็นการลงทุนในทรัพย์สิน ซึ่งมีระยะเวลาตั้งแต่ 3 พ.ย.58 ถึง 31 ธ.ค.59
"หากรัฐบาลขยายระยะเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนในประเทศ ก็จะช่วยสนับสนุนให้เอกชนขยายการลงทุน มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และช่วยเสริมแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 60 ให้เติบโตได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา"นายอิสระ กล่าว
ทั้งนี้ กกร.คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 60 จะเติบโตอยู่ในกรอบ 3.5-4.0% พร้อมมองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้จะดีขึ้นตามการส่งออกที่ขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 59 ประกอบกับปีนี้แนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลบวกต่อมูลค่าการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรบางรายการ กกร.จึงคาดว่าการส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1-3% จากเดิมที่มองไว้ 0-2%
อย่างไรก็ตาม กกร.มองว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นรัฐบาลจึงได้มีแนวทางในการปฏิรูปเศรษฐกิจภายในประเทศให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน เพื่อให้สามารถรับมือกับภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกในอนาคตได้ภายใต้วงเงินประมาณ 1 แสนล้านบาท เพื่อนำวงเงินนี้ไปใช้จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้กับกลุ่มจังหวัดทั้ง 18 กลุ่มจังหวัด ในช่วงเดือนก.พ.-ก.ย.60 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำงบประมาณในรูปแบบกลไกประชารัฐ
โดยล่าสุด ในการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการตามแนวทางสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ เมื่อวันที่ 7-8 ม.ค.60 เพื่อพิจารณาข้อเสนอโครงการของกลุ่มจังหวัดทั้ง 18 กลุ่ม โดยแบ่งงบประมาณออกเป็น 2 ส่วนคือ งบประมาณ 70,000 ล้านบาท ตามที่เสนอโดย 18 กลุ่มจังหวัด (กลุ่มละ 4,000 ล้านบาท) และงบประมาณ 30,000 ล้านบาท (กองทุน SME/Missing Links-Cross Regional) หรือ Function to area/Big rock projects) ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ในวันที่ 16 ม.ค.นี้ และจะนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันที่ 9 ก.พ. โดยคาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันในเดือนเม.ย.นี้
"งบประมาณนี้จะช่วงส่งผลในการขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ประมาณ 0.3-0.5% ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบประมาณว่าจะเป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่" นายอิสระ กล่าว