นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) เปิดเผยในการแถลงแผนธุรกิจปี 60 ว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายรวมมากกว่า 50,000 คัน หรือโต 18% จากปีที่แล้ว ขณะที่คาดว่ายอดขายรวมของตลาดจะเพิ่มขึ้นราว 5-8% มาที่กว่า 800,000 คัน และตั้งเป้าครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 6% สำหรับปี 59 บริษัทมียอดขาย 42,537 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8% สวนทางกับยอดขายรถยนต์รวมอยู่ที่ 767,000 คัน ที่หดตัวจากปีก่อน 4% โดยครองส่วนแบ่งทางการตลาด 5.5% เพิ่มขึ้น 0.7% ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตเป็นอันดับ 1 ของมาสด้าทั่วโลก
ในปีนี้ บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ถึง 6 รุ่น ซึ่งเป็นการไมเนอร์เชนจ์ 4 รุ่น และเปิดตัวใหม่ 2 รุ่น คือ มาสด้า CX-9 และมาสด้า MX-5 โดยลูกค้าจะได้พบกับเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากมาสด้า คือ SKYACTIV-VEHICLE DYNAMICS
นอกจากนี้ ปีนี้จะเปิดศูนย์บริการเพิ่มทั้งในกรุงเทพฯ 3-4 แห่ง และต่างจังหวัด 3-4 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 147 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งศูนย์บริการเดิมจะมีการปรับโฉมใหม่ให้ทันสมัยภายใน 2 ปี
นายชาญชัย กล่าวอีกว่า ในปีที่ผ่านมาภาพรวมของอุตสาหกรรมรถยนต์และสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป หรืออีกมุมหนึ่งคือแทบจะไม่มีปัจจัยบวกอะไรเข้ามากระตุ้นตลาดให้เกิดความคึกคัก ส่งผลให้ยอดขายรวมทั้งปีไม่เติบโตมากนัก
อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์จะไม่เอื้ออำนวย แต่ยอดขายตลาดรถยนต์โดยรวมก็ถือว่าประสบความสำเร็จสามารถบรรลุถึงยอดขายใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ คือประมาณ 767,000 คัน ปรับตัวลดลงเล็กน้อยประมาณ 4% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่าน จากตัวเลขยอดขายรวมอยู่ที่ 797,242 คัน
นายชาญชัย กล่าวถึงเรื่องการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าว่า ทางมาสด้าเองมีการค้นคว้าวิจัยอยู่แล้ว แต่การทำตลาดในประเทศไทยนั้นคงต้องรอดูความชัดเจนของนโยบายภาครัฐ เบื้องต้นยังเห็นว่าประเทศไทยยังไม่มีความพร้อมในเรื่องโครงสร้างที่จะรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า
ส่วนเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้นั้น ทางมาสด้าจะเข้าไปช่วยเหลือในเรื่องการซ่อมแซมด้วยการลดราคาอะไหล่และค่าแรงลง 30%
ด้านนายอัตสึชิ ยาสึโมโต รองประธานบริหาร มาสด้า กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทย คือ ตลาดหลักที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับมาสด้าในการสร้างยอดขาย และประเทศไทยยังถูกจัดอยู่ใน 10 อันดับแรกของประเทศที่มียอดขายสูงสุดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเติบโตด้านยอดขายในปีที่ผ่านมานั้น เพิ่มขึ้นถึง 8% ครองส่วนแบ่งการตลาด 5.5% เพิ่มขึ้น 0.7% ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตเป็นอันดับ 1 ของมาสด้าทั่วโลก และกลายเป็นตลาดอันดับสองที่ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดรองจากประเทศออสเตรเลีย
นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นฐานการผลิตที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของมาสด้า และเป็นฐานการผลิตรถยนต์ครบวงจรแห่งแรกนอกจากประเทศญี่ปุ่นของมาสด้า ที่สามารถผลิตทั้งเครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง และการประกอบรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานมาสด้า พาวเวอร์เทรน แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรีที่เริ่มผลิตและส่งออกระบบเกียร์อัตโนมัติ สกายแอคทีฟ ไปยังประเทศเม็กซิโก ประเทศจีน และในภูมิภาคอื่นๆแล้ว หรือโรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ในจังหวัดระยอง และยังเป็นฐานการผลิตและฐานส่งออกสำคัญของมาสด้า ผลิตรถยนต์มาสด้ามากถึง 4 รุ่น นั่นคือ Mazda3, Mazda2, CX-3 และมาสด้า บีที-50 โปร