นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมติดตามงานด้านค่าครองชีพ และการผลักดันเศรษฐกิจภายในประเทศ (Local Economy) ที่กระทรวงพาณิชย์ว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการผลักดันเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็งเป็นอย่างมาก จึงได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เดินหน้าจัดทำตลาดกลางขึ้นทั่วประเทศ ซึ่งมีทั้งตลาดกลางเฉพาะสินค้าที่เป็นสินค้าเด่น และสินค้าที่มีชื่อเสียงของแต่ละท้องถิ่น เช่น ข้าว ผลไม้ ผ้าทอ ผ้าผืน เป็นต้น และตลาดกลางสำหรับสินค้าทั่วไป โดยให้เชื่อมโยงถึงการท่องเที่ยวด้วย ซึ่งต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3-6 เดือน ถือเป็นการช่วยสร้างรายได้ให้กับประชาชนในท้องถิ่น และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก
"ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ประชุมพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศเพื่อร่วมกันพิจารณาว่า แต่ละจังหวัดจะมีตลาดทั้ง 3 รูปแบบที่ใดบ้าง อย่างที่ผมเสนอไป เช่น จ.ชุมพร อาจตั้งเป็นตลาดกลางทุเรียน เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาเที่ยวในพื้นที่ หรืออย่าง จ.สุราษฎร์ธานี อาจเป็นตลาดกลางอาหารทะเล เมื่อมีสินค้าขายก็ต้องเอานักท่องเที่ยวเข้ามาซื้อ ไม่อย่างนั้นของจะขายไม่ได้ ถือเป็นการสร้างรายได้ให้ชุมชน" นายสมคิด กล่าว
นอกจากนี้ ยังสั่งการให้จัดตั้งตลาดชุมชนประชารัฐในแต่ละหมู่บ้าน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ต้องดำเนินงานร่วมกับกองทุนหมู่บ้าน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และกระทรวงมหาดไทย โดยเชื่อมโยงการท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน อย่างที่ จ.น่าน มีผ้าทอที่มีชื่อเสียงและสวยงาม แต่ไม่มีคนรู้จักหมู่บ้านทอผ้านี้ จึงต้องทำให้คนซื้อและนักท่องเที่ยวรู้จักแล้วเข้ามาซื้อผ้าถึงในหมู่บ้าน ซึ่งจะเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนเช่นกัน
สำหรับการดูแลค่าครองชีพของประชาชน นายสมคิด กล่าววว่า ภายหลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเริ่มขยับสูงขึ้น ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามดูแลสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตและการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นจนผู้ประกอบการอาจขอปรับขึ้นราคาขายได้ อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ ยืนยันว่า จะดูแลอย่างเต็มที่ และทำงานเชิงรุกเพื่อไม่ให้กระทบต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย ส่วนในพื้นที่ภาคใต้ที่ประสบภัยน้ำท่วมต้องดูแลไม่ให้ผู้ค้าเอาเปรียบฉวยโอกาสขึ้นราคาซ้ำเติมประชาชนด้วย
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอให้มีการตั้งร้านธงฟ้าประชารัฐเพื่อขายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ เช่น ผงซักฟอก สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น ในราคาต่ำกว่าท้องตลาด 15-20% เป็นอย่างน้อย โดยกระจายเข้าไปในชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศ ในเบื้องต้นจะขอความร่วมมือร้านค้าปลีกและค้าส่งที่อยู่ในเครือข่ายของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าให้เข้าร่วมโครงการ เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งดูแลค่าครองชีพผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศ