นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า กรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ลงนามถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (TPP) นั้นไม่มีผลกระทบต่อไทย เพราะไทยยังไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก TPP
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไทยต้องเร่งดำเนินการหลังจากนี้ คือ การผลักดันให้การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในภูมิภาค (RCEP) ระหว่างอาเซียนและประเทศคู่เจรจา 6 ประเทศ ประกอบด้วย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ให้ได้ข้อสรุปภายในปี 60 ตามเป้าหมายที่ผู้นำทั้ง 16 ประเทศได้ประกาศไว้ เพราะไทยจะได้ประโยชน์จากความตกลงนี้ ซึ่งถือเป็นกรอบเจรจาที่ใหญ่สุดในโลกหากไม่มี TPP
รมว.พาณิชย์ กล่าวต่อว่า ส่วนไทยจะถือโอกาสนี้เดินหน้าเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐฯ ที่หยุดการเจรจามานานแล้วหรือไม่นั้นในขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ คงต้องติดตามนโยบายของนายทรัมป์อย่างใกล้ชิดต่อไป แต่สิ่งที่ไทยต้องเร่งดำเนินการคือ ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้น เพื่อให้สินค้าไทยมีคุณภาพดี และเป็นที่ต้องการของทั่วโลก
นอกจากนี้ ไทยยังสามารถเพิ่มโอกาสทางการค้ากับสหรัฐฯ ในกรอบข้อตกลงทางการค้าและการลงทุนสหรัฐฯ (TIFA) ซึ่งปีนี้ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ดังนั้นจึงมั่นใจว่า นโยบายที่ทรัมป์ประกาศออกมาจะยังไม่กระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของไทย
สำหรับนโยบายจะถอนการลงทุนของภาคเอกชนสหรัฐฯ ในประเทศต่างๆ กลับเข้ามาลงทุนในสหรัฐฯ นั้น รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า จากการหารือกับภาคเอกชนสหรัฐฯ ในการประชุมสภาเศรษฐกิจโลก หรือ World Economic Forum (WEF) ประจำปี 59 ณ กรุงดาวอส สหพันธรัฐสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 17-20 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้รับการยืนยันจากภาคเอกชนสหรัฐฯว่า การถอนการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมดคงเป็นไปได้ยาก เพราะในสหรัฐฯ ไม่สามารถผลิตสินค้าได้หลากหลายเนื่องจากไม่มีวัตถุดิบ ดังนั้นนักลงทุนสหรัฐฯ จึงต้องออกไปลงทุนภายนอกสหรัฐฯ เช่น ไทย อาเซียน และเชื่อว่าการลงทุนของสหรัฐฯ ในไทย และอาเซียน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น จะยังคงดำเนินต่อไป ไม่มีการย้ายฐานการลงทุนแน่นอน
"แม้นโยบายของสหรัฐฯ จะเน้นปกป้องเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก แต่เชื่อว่าสหรัฐฯ ยังต้องพึ่งการลงทุนจากประเทศอื่นๆ และหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัว จะมีผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกฟื้นตัวไปด้วย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ และทั่วโลก ส่วนมาตรการตอบโต้ทางการค้าที่สหรัฐฯ อาจนำมาใช้มากขึ้นนั้น ตอนนี้ไม่กังวลเพราะเป็นเรื่องปกติของทุกประเทศ แต่เชื่อว่า สหรัฐฯจะดำเนินนโยบายการค้าตามกรอบองค์การการค้าโลก (WTO) ที่ไม่ใช่การกีดกันทางการค้า" นางอภิรดี กล่าว