ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดส่งออกรถยนต์ปีนี้ฟื้นตัว 1-6% คาดเกิน 1.2 ล้านคัน ท่ามกลางหลายปัจจัยเสี่ยง

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday February 1, 2017 18:10 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการส่งออกรถยนต์ของไทยในปีนี้อาจขยายตัวได้ 1-6% หรือมีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 1.2-1.26 ล้านคัน ท่ามกลางความเสี่ยงจากทิศทางเศรษฐกิจจีน ความไม่แน่นอนทางแนวนโยบายและแนวโน้มการปกป้องทางการค้าภายหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมถึงความเสี่ยงทางการเมืองกรณีอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป และความไม่สงบในหลายประเทศ

เมื่อเข้าสู่ปี 2560 เศรษฐกิจโลกเริ่มมีทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะเดียวกันกับที่ราคาน้ำมันก็มีแนวโน้มที่จะขยับขึ้นจากปีที่แล้วมาอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 50 ดอลลาร์ฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ตลาดรถยนต์โลกมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น โดยมีการประมาณการว่าตลาดรถยนต์โลกอาจขยายตัว 1.1% จากปี 2559 และเมื่อประกอบกับค่าเงินบาทที่มีทิศทางอ่อนค่าลง ส่งผลให้สภาพตลาดส่งออกรถยนต์โดยรวมของไทยในปี 60 นี้ น่าจะมีทิศทางที่ขยายตัวดีขึ้น

โดยหากพิจารณาให้ลึกเฉพาะประเทศคู่ค้าการส่งออกรถยนต์ของไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองในเบื้องต้นว่า เอเชีย และโอเชียเนีย ซึ่งมีสัดส่วนตลาดพอกันที่กว่า 27% จะยังคงเป็นตลาดหลักที่สำคัญของรถยนต์ที่ส่งออกจากไทยอยู่ และมีทิศทางจะขยายตัวได้ในปี 60 โดยประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม)เป็นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี โดยเฉพาะเวียดนาม ขณะที่ตลาดอเมริกาเหนือ ซึ่งเติบโตสูงมากในปีที่ผ่านมา คาดว่าจะยังมีโอกาสเติบโตได้ต่ออีก แม้จะอยู่ท่ามกลางกระแสกดดันของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เช่นเดียวกับตะวันออกกลางที่แม้จะมีสถานการณ์ความไม่สงบในภูมิภาค แต่ก็ได้ปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตลาดส่งออกที่ยังคงมีความท้าทายอยู่ในปี 2560 นี้ ได้แก่ ยุโรป อเมริกากลางและใต้ รวมถึงแอฟริกา จากภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน ความนิยมของผู้บริโภคในตลาดรถยนต์ที่เปลี่ยนแปลง การเผชิญกับการลงทุนผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค และการนำเข้าจากประเทศคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้แม้ว่าสภาพตลาดและโอกาสการขยายตัวในแต่ละตลาดจะแตกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้วศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังมองว่าการส่งออกรถยนต์ยังมีโอกาสขยายตัวได้ ทั้งในส่วนของรถปิกอัพ รถยนต์นั่ง และรถอเนกประสงค์ ซึ่งการขยายตัวดังกล่าวเมื่อผนวกรวมกับตลาดในประเทศที่คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นด้วยแล้ว น่าจะส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์ในปีนี้ขยายตัวในอัตรา 1-5% หรือคิดเป็นจำนวนการผลิตรถยนต์ 1,970,000 ถึง 2,040,000 คัน ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนรถยนต์ทั้งในส่วนของตลาด OEM และตลาดอะไหล่

แต่ในสภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นในปัจจุบัน จึงจำเป็นที่ผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับตัวให้สามารถอยู่รอดและเติบโตได้ในตลาดนี้ ซึ่งการให้ความสำคัญต่อการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งเพื่อลดต้นทุนหรือเพื่อต่อยอดธุรกิจ อาจเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้สินค้าสามารถแข่งขันได้ และสามารถตอบโจทย์การผลิตรถยนต์สมัยใหม่ที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กำลังเป็นความท้าทายใหม่ในระยะข้างหน้าที่ไทยต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ แนวนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพราะนอกจากจะมีผลต่อการส่งออกรถยนต์ไปขายยังสหรัฐฯในอนาคตแล้ว อาจจะมีผลต่อแผนการลงทุนของค่ายรถในเรื่องฐานการผลิตรถยนต์ประเภทต่างๆ และอาจกระทบถึงอุตสาหกรรมต่างๆในห่วงโซ่การผลิต รวมถึงการส่งออกรถยนต์ของไทยไปยังตลาดต่างๆได้เช่นกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ