นางมาลี โชคล้ำเลิศ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ แนะผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องประดับของไทยที่ต้องการส่งออกไปยังตลาดเยอรมนีควรพัฒนาผลิตภัณฑ์ ทั้งด้านการออกแบบ การเจียระไน ตลอดจนรักษามาตรฐานคุณภาพ และปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้ทันสมัยเข้ากับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ล่าสุดสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครแฟรงค์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี รายงานว่า พฤติกรรมการบริโภคของชาวเยอรมันได้เปลี่ยนแปลงไป ตัวเลขสถิติจากหลากหลายแหล่งและบทสัมภาษณ์ของนิตยสารชื่อดังชี้ให้เห็นถึงเทรนด์การบริโภคสินค้าหรูหราของชาวเยอรมันที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน จากเดิมสินค้าที่มีราคาสูงมักจะจำกัดอยู่ที่รถยนต์ เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน แต่ปัจจุบันชาวเยอรมันกลับหันมาให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว อาหาร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องประดับ โดยไม่ได้มีเพียงชนชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถเป็นเจ้าของสินค้าหรูหราได้ ชาวเยอรมันทั่วไปก็สามารถเป็นเจ้าของได้เช่นกัน
"ชาวเยอรมันที่เป็นผู้นิยมบริโภคสินค้าหรูในทุกวันนี้ คือ คนหนุ่มสาวในวัยทำงาน หรือกลุ่มเจนเนอเรชั่นวาย (Gen Y) ซึ่งมีกำลังซื้อที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ตลาดสินค้าหรูหราขยายตัวกว้างขึ้น นาฬิกาข้อมือและเครื่องประดับถือเป็นสินค้าที่ได้รับความสนใจสูงสุด กลุ่ม Gen Y นิยมซื้อสินค้าเหล่านี้จากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมานานมากกว่าสินค้าจากแบรนด์ใหม่ๆ เพื่อนำมาเป็นเครื่องแสดงฐานะทางสังคมและเสริมสร้างบุคลิกของผู้สวมใส่" นางมาลี กล่าว
ทั้งนี้อุตสาหกรรมเครื่องประดับเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีชื่อเสียงของเยอรมนี เนื่องจากมีช่างฝีมือด้านเจียระไน การตกแต่ง และการออกแบบเครื่องประดับ โดยเฉพาะแถบเมืองฟอซไฮม์ (Pforzheim) ทางตอนใต้ของประเทศ ชาวเยอรมันนิยมเครื่องประดับที่มีคุณภาพและราคาค่อนข้างสูง ซึ่งนอกจากจะใช้สวมใส่เป็นเครื่องประดับแล้ว ยังถือเป็นการลงทุนในทรัพย์สินในสภาวะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำและค่าเงินยูโรอ่อนตัว
อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ผู้ส่งออกไทยต้องจับตาดูประเทศคู่แข่งสำคัญ เช่น เวียดนาม จีน ฮ่องกง และตุรกี อีกด้วย โดยในปี 59 ไทยส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไปเยอรมนีมูลค่า 598.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 13.32% ของการส่งออกสินค้ากลุ่มนี้