ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองทิศทางการดำเนินธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ในปี 60 คงเผชิญสภาพแวดล้อมที่มีความท้าทายไม่น้อยไปกว่าปีที่ผ่านมา จากโจทย์หลัก 3 ด้าน ได้แก่ โจทย์ทางด้านกติกา ทิศทางต้นทุนทางการเงิน และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ซึ่งทำให้ภาพในปีนี้แตกต่างไปจากโจทย์ในช่วง 2-3 ปีก่อน ที่ความกังวลหลักจะอยู่ที่ประเด็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
โจทย์แรก รายได้ค่าธรรมเนียมอาจเติบโตชะลอลงในระยะสั้น จากการเปลี่ยนผ่านของกฎเกณฑ์ กติกาการกำกับดูแล และโครงการของรัฐ ที่เริ่มต้นปีด้วยการเดินหน้าโครงการ National e-Payment ในส่วนของ “โครงการพร้อมเพย์” (PromptPay) ที่เปิดตัวไปแล้วในส่วนของการโอนเงินระหว่างบุคคล-บุคคล เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ที่ผ่านมา และตามมาด้วยการเตรียมให้บริการพร้อมเพย์นิติบุคคลในช่วงต้นเดือนมี.ค. 2560 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า รายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์ในปี 2560 อาจได้รับผลกระทบราว 3.1-3.6 พันล้านบาทจากโครงการพร้อมเพย์ (ภายใต้สมมติฐานว่า 60% ของผู้ลงทะเบียนเปลี่ยนมาใช้ระบบพร้อมเพย์เป็นช่องทางหลักในการทำธุรกรรมโอนเงิน)
ขณะที่ การดำเนินการในส่วนของ “การขยายเครือข่ายร้านค้ารับบัตร” หรือเครื่อง EDC/MPOS ก็น่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ ความเข้มงวดของ “เกณฑ์ดูแลการขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน” อาทิ ผลิตภัณฑ์ประกัน ผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุนอื่นๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามา ก็อาจทำให้การเติบโตของรายได้ค่านายหน้าจากการขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินในปีนี้ มีความท้าทายเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
โจทย์ที่สอง การเปลี่ยนผ่านไปสู่จังหวะการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของ “อัตราดอกเบี้ยในตลาด” ที่ คงกดดันต้นทุนทางการเงิน และทำให้ยังคงต้องเฝ้าระวังคุณภาพของหนี้อย่างใกล้ชิด
ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่มีโอกาสกลับมาไต่ระดับขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณคุมเข้มดอกเบี้ยที่ชัดเจนขึ้นนั้น อาจเพิ่มแรงกดดันต่อต้นทุนการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ของไทย ซึ่งท้ายที่สุดอาจมีผลต่อเนื่องให้ต้นทุนการระดมเงินฝากก้อนใหม่บางส่วนของธนาคารพาณิชย์ต้องเริ่มขยับขึ้นในทิศทางที่สอดคล้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินฝากและตั๋วแลกเงิน (LTD+B/E) ไต่ระดับขึ้นเข้าใกล้ 98% อันบ่งชี้ถึงสภาพคล่องที่ค่อนข้างตึงตัว และเป็นสัญญาณว่าการแข่งขันระดมเงินฝากจะเริ่มกลับมาเข้มข้นขึ้นในปีนี้
ขณะเดียวกัน ทิศทางขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ทำให้ยังต้องจับตาดูประเด็นด้านความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า (โดยเฉพาะลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและเล็ก ลูกค้าบุคคลรายย่อย และลูกค้าที่เคยปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้ว) อย่างต่อเนื่อง รวมถึงทำให้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ยังคงนโยบายตั้งสำรองในระดับสูง ซึ่งส่วนหนึ่งก็เพื่อเตรียมการล่วงหน้ารองรับการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลธนาคารและมาตรฐานบัญชี (IFRS9) ในอนาคตด้วย
โจทย์ที่สาม การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อเพิ่มแต้มต่อ ท่ามกลางความเข้มข้นของสนามการแข่งขันของบริการด้านการเงิน กระบวนการ Disruptive Innovation ในธุรกิจการเงินไทยในปัจจุบันที่คืบหน้าอย่างรวดเร็ว และยังมีแนวโน้มจะเข้มข้นขึ้นอีก หลังธปท.วางแผนจะให้ใบอนุญาตธุรกิจใหม่ๆ และเริ่มทดสอบ Regulatory Sandbox ในปี 2560 คงทำให้สุดท้ายแล้ว จะมีผู้เล่นทั้ง FinTech และผู้ประกอบการในธุรกิจอื่น อาทิ e-Commerce โทรคมนาคม และค้าปลีก ก้าวเข้าสู่สนามแข่งขันกับบริการด้านการเงินของธนาคารพาณิชย์มากขึ้น
ทั้งนี้ คงต้องยอมรับว่า การรับมือกับโจทย์ท้าทายของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ทั้ง 3 ด้านดังกล่าวข้างต้น บางส่วนอาจทำได้โดยการเพิ่มประสิทธิภาพของการบริหารจัดการด้านต้นทุน โดยเฉพาะต้นทุนจากการดำเนินงาน อาทิ การรับมือกับการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคมาสู่การเงินออนไลน์ ด้วยการปรับช่องทางการให้บริการมาเน้นช่องทางดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น พร้อมๆ กับการปรับโมเดลสาขาของธนาคารพาณิชย์ ทั้งรูปแบบการควบรวมสาขา/การปิดสาขาที่ในพื้นที่ที่ซ้ำซ้อนและมีธุรกรรมไม่หนาแน่น แต่บางส่วนก็อาจจะกลายมาเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น หรือรายจ่ายต่อเนื่องสำหรับธนาคารพาณิชย์ในปีนี้ด้วยเช่นกัน เช่น การยกระดับประสิทธิภาพของพนักงานสาขา (Upskill) ตลอดจน การจัดสรรเม็ดเงินลงทุนในระบบเทคโนโลยีและธุรกิจฟินเทคที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมความเข้มแข็งและต่อยอดบริการอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นจุดเด่น ตลอดจนเพื่อแสวงหาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่อาจจะกลายมาเป็นแหล่งรายได้เพิ่มเติมในอนาคต ดังนั้น จึงทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า สัดส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost-to-Income Ratio) ของธนาคารพาณิชย์ในปี 2560 จะยังคงอยู่ในกรอบที่ไม่หนีไปจากปีก่อนที่ราว 43-44%
ส่วนประเด็นเรื่องการบริหารต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายนั้น ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งมีการวางกลยุทธ์บรรเทาผลกระทบจากต้นทุนการเงินที่เตรียมปรับขึ้นไว้แล้วล่วงหน้า ด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การรักษาสัดส่วนเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์ (CASA) ให้อยู่ในระดับสูง ตลอดจนการเน้นออกผลิตภัณฑ์เงินฝากพิเศษเท่าที่จำเป็น โดยเลื่อนการใช้กลยุทธ์การแข่งขันด้านราคาเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดหรือดึงเงินใหม่ ออกไปก่อน เป็นต้น ซึ่งคงช่วยทัดทานผลกระทบจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยตลาดได้ระยะหนึ่ง
ด้วยภาพที่การบริหารจัดการต้นทุน ทั้งต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายและต้นทุนดำเนินงาน ถูกขึงให้ตึงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงที่เศรษฐกิจเผชิญปัญหาการฟื้นตัวในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไร อีกทั้งการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมส่วนอื่นๆ ก็เผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้าง จากภาวะที่ความต้องการของตลาดลูกค้าเดิมค่อนข้างอิ่มตัว และเผชิญการแข่งขันด้านราคาจากคู่แข่งเพื่อแย่งชิงเค้กเดียวกันมากขึ้น ดังนั้น แรงขับเคลื่อนการเติบโตฝั่งรายได้ในปี 2560 นี้ จึงต้องหวังพึ่งการกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้นของสินเชื่อ ตามวัฏจักรเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว และการควบคุมคุณภาพหนี้
ทั้งนี้ คาดว่า สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์มีโอกาสเติบโตเร่งขึ้นมาที่ 4.0% กรอบคาดการณ์ที่ 3.0-5.0% หรือเพิ่มขึ้นราว 3.4-5.6 แสนล้านบาท (จากที่เติบโตประมาณ 2.5% ในปี 2559) ภายใต้สมมติฐานอัตราการขยายตัวของจีดีพีในปี 2560 ที่กรอบ 3.0-3.6% โดยคาดว่า จะเห็นธนาคารพาณิชย์รุกสินเชื่อที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง (Yield) อาทิ สินเชื่อรายย่อย และเอสเอ็มอี เพื่อช่วยเสริมความเข้มแข็งของรายได้ดอกเบี้ย ขณะที่ มองว่า หากเศรษฐกิจสามารถรักษาโมเมนตัมการขยายตัวได้ดีต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง น่าจะช่วยทำให้สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPLs) มีโอกาสแตะระดับสูงสุดในช่วงไตรมาส 3/2560 ที่ 3.01% ก่อนที่จะปรับลดลงมาที่ 2.95% ในไตรมาส 4/2560 ซึ่งจากภาพทั้งหมด ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า อัตราส่วนผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (NIM) ของธนาคารพาณิชย์ไทยในปี 2560 นี้ ยังมีโอกาสทรงตัวในกรอบประมาณ 3.00-3.15% ใกล้เคียงกับปี 2559 แม้ว่าต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายจะทยอยไล่ระดับขึ้นในระยะที่เหลือของปีนี้ก็ตาม
สุดท้ายแล้ว ภาพต่างๆ ข้างต้น จะทำให้กำไรสุทธิในปี 2560 เติบโตได้ในกรอบที่ไม่สูงมากนัก หรือราว 3.0-4.0% เทียบกับปี 2559 ที่กำไรสุทธิเติบโต 3.2% แต่การดำเนินการต่างๆ ข้างต้น ก็คงช่วยทำให้มั่นใจว่า ธนาคารพาณิชย์จะสามารถรักษาบทบาทในการเป็นตัวกลางทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนความสามารถในการสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว