นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการมอบนโยบายการปฏิบัติงานให้แก่ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ว่า ได้ตั้งเป้าหมายสำหรับการส่งออกของไทยในปี 60 ขยายตัวราว 5% เนื่องจากเห็นว่าประเทศคู่ค้าหลักที่สำคัญมีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นกว่าปีก่อน รวมทั้งราคาสินค้าเกษตรในปีนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
"ปีนี้กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าการส่งออกจะต้องทำให้ได้ 5% ยอมรับว่าเป็นอัตราที่ท้าทาย แต่เราก็ได้คำนึงถึงความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่สูง โดยเฉพาะนโยบายของประเทศใหญ่ๆ เช่น สหรัฐ ที่ยังมีความไม่แน่นอน ซึ่งเราก็พร้อมที่จะปรับตัว" นายสมคิด กล่าว
พร้อมกันนั้นยังได้ตั้งเป้าการส่งออกในแต่ละตลาดไว้ดังนี้ สหรัฐฯ เติบโต 3.2% สหภาพยุโรป 3% จีน 4% ญี่ปุ่น 4% อาเซียน 5% ตะวันออกกลาง 2% แอฟริกา 2.5% เป็นต้น ภายใต้คาดการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะขยายตัวได้ 3.4% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ขยายตัว 3.1% ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาจะยังคงเป็นกลไกขับเคลื่อนที่สำคัญ
สำหรับปัจจัยสนับสนุนที่มีผลต่อเศรษฐกิจโลก ได้แก่ ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคจากประเทศในกลุ่ม Emerging Market และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ คือ ค่าเงินยังมีความผันผวน, การเปลี่ยนแปลงนโยบายของประเทศคู่ค้าที่สำคัญ และมาตรการทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า
นายสมคิด กล่าวว่า ประเทศไทยควรมาถึงจุดที่ต้องพัฒนาการลงทุนในต่างประเทศแล้ว และไม่ควรจะยึดแค่ตัวเลขการส่งออกแต่เพียงอย่างเดียว เพราะหากถึงจุดหนึ่งที่สินค้าบางตัวไม่สามารถแข่งขันในประเทศได้ ก็ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องย้ายการลงทุนไปยังต่างประเทศ และต่อยอดการผลิตสินค้าในประเทศให้มีมูลค่าสูงขึ้น
"ดังนั้นในอนาคตข้างหน้า ดัชนีที่จะใช้ดูนั้นคงไม่ใช่แค่ส่งออกอย่างเดียว ต้องมีดัชนีของการส่งออกและดัชนีการลงทุนในต่างประเทศ 2 ตัวนี้คือตัวที่จะมาเกื้อกูลเศรษฐกิจไทยในระยะยาวข้างหน้า ดูตัวอย่างจากไต้หวัน ญี่ปุ่น และฮ่องกง ดังนั้นประเทศที่พัฒนาแล้วคือต้องมีทั้งการลงทุน และการส่งออก" นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด กล่าวถึงยุทธศาสตร์ของการส่งออกว่า การเจรจาทวิภาคีเป็นเรื่องสำคัญ โดยได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาว่าขณะนี้มีกี่ประเทศที่ไทยจะต้องเริ่มเจรจา ซึ่งจะมีทั้งในส่วนของการเจรจาเปิดเสรีทางการค้า (FTA) และ Strategic Partner ซึ่งในกรณีของ FTA จะเป็นเฉพาะการเจรจาลดภาษี แต่กรณีของ Strategic Partner จะไม่ใช่การลดภาษีในภาพรวมแต่จะระบุเฉพาะอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
"เบื้องต้นเรามองประเทศหลักๆ ใน CLMV ในอาเซียนและประเทศใหญ่ๆ ที่เป็นคู่ค้า และยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี จะทำให้เกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่จะมาช่วยหนุนตัวเลขการส่งออก โครงการเหล่านี้จะเปิดทางให้เอกชนมีโอกาสส่งออกและลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น" นายสมคิด กล่าว
พร้อมกันนี้ยังขอให้กระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาการขยายตลาดการค้าชายแดนให้มากขึ้น โดยปีนี้ได้ตั้งเป้าหมายการค้าชายแดนไว้ที่ 1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 59 ที่มีมูลค่า 1.2 ล้านล้านบาท
นายสมคิด กล่าวถึงการค้ากับสหรัฐว่า จากแนวโน้มที่เห็นโอกาสการส่งออกมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้นนั้น สินค้าไทยที่มีโอกาสเติบโตสูงในตลาดสหรัฐ คือ สินค้าเกษตร และอาหารแปรรูป โดยได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ไปพิจารณาแนวทางว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าเกษตร และอาหารแปรรูปของไทยขยายออกไปสู่ตลาดสหรัฐรวมทั้งตลาดโลกได้มากขึ้น โดยเห็นว่าจำเป็นที่จะต้องมี Outlet สินค้าอาหารของไทยกระจายอยู่ในต่างประเทศให้มากขึ้น
ส่วนนโยบายเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐนั้น นายสมคิด มองว่า ความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูง แต่ในระยะสั้นเชื่อว่านโยบายของทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้น ซึ่งหากไทยรู้จักแสวงหาโอกาสและช่องทางที่ดีในการทำการค้าก็จะถือเป็นโอกาสที่ดีของไทยอย่างแน่นอน ในทางกลับกันนโยบายของทรัมป์จะนำไปสู่การกีดกันทางการค้าหรือไม่นั้น คงเป็นเรื่องที่ต้องจับตาดูต่อไป