นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในฐานะเป็นหน่วยงานกำกับดูแลและบังคับใช้พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 เร่งดำเนินการหารือ 3 ฝ่าย ประกอบด้วย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย เพื่อกำหนดมาตรการให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้โดยตรง และมีการใช้หลักทรัพย์ชนิดใหม่ตามกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยเบื้องต้น กระทรวงพาณิชย์จะขอให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาช่วยเสริมทัพหลักประกันทางธุรกิจ โดย บสย.จะทำหน้าที่ช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ สร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบันการเงินในการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินเอกชนไม่มีความพร้อมที่จะรับความเสี่ยงในการนำทรัพย์สินประเภทกิจการหรือทรัพย์สินทางปัญญามาใช้เป็นหลักประกันการชำระหนี้
"กระทรวงพาณิชย์หวังว่า หลังจากที่ บสย.เข้ามาช่วยเสริมทัพแล้ว จะทำให้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และจะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถผ่อนปรนการพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอีง่ายขึ้น กรณีที่ใช้หลักทรัพย์ชนิดใหม่ค้ำประกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการหารือความเป็นไปได้ในรูปแบบของการค้ำประกัน" รมว.พาณิชย์ กล่าว
พร้อมระบุว่า ปัจจุบันกรมพัฒนาธุรกิจการค้า มีระบบการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจที่มีความสะดวก รวดเร็ว แบบเรียลไทม์ (Real Time) สามารถยื่นขอจดทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ และขณะนี้ได้พัฒนาระบบให้สามารถรับชำระเงินค่าธรรมเนียมผ่านระบบ e-payment ซึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวกในการขอจดทะเบียนฯ มากยิ่งขึ้น อีกทั้งมีระบบตรวจเช็คข้อมูลสัญญาหลักประกันทางธุรกิจได้ทันที ทุกที่ ทุกเวลา เพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการและระบบเศรษฐกิจมากที่สุด และเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการด้านการให้บริการข้อมูลการจดทะเบียนฯ และข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้บังคับหลักประกัน โดยคาดว่าจะสามารถให้บริการได้อย่างสมบูรณ์ในเดือนพฤษภาคม 2560
"คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งถึงจะทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สถาบันการเงิน และผู้บังคับหลักประกัน มีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจมากขึ้น และพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากกฎหมายฯ ฉบับดังกล่าว โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมมือกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เดินสายสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้เสียทั่วประเทศ เพื่อให้รับรู้รับทราบถึงรายละเอียดให้ได้มากที่สุด" นางอภิรดี กล่าว
พร้อมระบุว่า กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง สมาคมธนาคารไทย และหน่วยงานพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง จะบูรณาการความร่วมมือและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันให้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ช่วยให้เอสเอ็มอีซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้โดยตรง และง่ายมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งสร้างโอกาสทางธุรกิจเพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง และธุรกิจสามารถดำรงคงอยู่ได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน"
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ.2558 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ค.59 ที่ผ่านมา เป็นกฎหมายที่ช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เพิ่มมากขึ้น โดยสามารถนำทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจที่มีอยู่ในการประกอบกิจการมาใช้เป็นหลักประกันการชำระหนี้ได้ โดยไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สินและสามารถใช้ทรัพย์สินนั้นไปผลิตเป็นสินค้าหรือบริการเพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มได้
อย่างไรก็ดี จนถึงปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 22 ก.พ.60) มีธุรกิจเอสเอ็มอียื่นคำขอจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ รวม 118,887 คำขอ มูลค่าทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกัน 1,688,534 ล้านบาท โดยสิทธิเรียกร้องประเภทบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันมากที่สุด คิดเป็น 57.61% (มูลค่า 972,776 ล้านบาท) รองลงมาคือ สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น สินค้าคงคลัง วัตถุดิบ เครื่องจักร รถยนต์ เรือ เครื่องบิน คิดเป็น 21.66% (มูลค่า 365,741 ล้านบาท) และสิทธิเรียกร้องประเภทอื่นๆ เช่น ลูกหนี้การค้า สัญญาจ้าง สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าซื้อ คิดเป็น 17.12% (มูลค่า 289,157 ล้านบาท)