ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี (TMB Analytics) ชี้หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วจะสร้างแรงกดดันให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นตาม พร้อมเตือนรับจุดสิ้นสุดของดอกเบี้ยขาลง และค่าเงินผันผวนในปีนี้
"หลังจากตลาดเงินและตลาดทุนเผชิญกับความปั่นป่วน เมื่อครั้งที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในตอนนี้ทั้งโลกจะต้องกลับมาเตรียมรับมืออีกครั้งกับ Yellen Shock หลังประธานเฟด นางเจนเน็ต เยลเลน ได้ออกมาสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วของเฟด หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวแข็งแกร่ง ทำให้มีความเป็นไปได้สูงที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยได้ในเดือนมีนาคม" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้แถลงต่อสภาคองเกรส เน้นย้ำถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ การปรับลดภาษีบุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคล การเพิ่มงบการทหารจำนวนมหาศาล และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวน 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ในระยะเวลา 10 ปี โดยเฉพาะในส่วนการลงทุนภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งในระยะสั้นจะสามารถดันเศรษฐกิจสหรัฐฯให้โตเพิ่มขึ้นได้ 0.1% ต่อปี และในระยะยาวจะช่วยให้ศักยภาพการผลิตเพิ่มขึ้น หนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโตได้เกิน 1.8% ต่อปี นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เองจะสามารถปรับตัวขึ้นเกินการประมาณการณ์ของเฟดที่ 2% ได้อย่างรวดเร็ว จากการจ้างงานคนอเมริกันที่มากขึ้นส่งผลให้อัตราว่างงานลดลงสู่ระดับ 4.5% และการเพิ่มค่าจ้างที่สูงขึ้น แนวโน้มการปรับตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว จะทำให้ เฟด มีโอกาสที่จะปรับดอกเบี้ยได้เร็วและแรงตามการคาดการณ์ของเฟด คือ สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปีนี้
ศูนย์วิเคราะห์ฯ ได้ประเมินผลกระทบต่อตลาดการเงิน ถ้าหากเฟดขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วถึง 3 ครั้ง ดังนี้
1.อัตราผลตอบแทน (บอนด์ยีลด์) ของพันธบัตรทั่วโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น และภาพของอัตราดอกเบี้ยที่เป็นขาลงติดต่อกัน 35 ปี จะหมดไปทันที โดยศูนย์วิเคราะห์ฯ ได้ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ของพันธบัตร 10 ปี ไทยและสหรัฐ สามารถปรับตัวสูงขึ้นถึง 0.6 % ส่งผลให้การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนที่ไม่น่าสนใจ
2.อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ จากเดิมที่มีแนวโน้มทรงตัวที่ 1.50% ตลอดทั้งปีเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากถ้าหากเฟดขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% จะทำให้ อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ มาอยู่ที่1.50% เทียบเท่ากับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการไหลออกของเงินทุนที่รุนแรงได้ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยยังคงอยู่ในระดับเดิม
อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของไทย ยังคงต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากดอกเบี้ยขาขึ้นดังกล่าวจะส่งผลให้ ต้นทุนการกู้เงินเพิ่มสู้ขึ้น (ดอกเบี้ย MLR เฉลี่ย 4 ธนาคารใหญ่จะปรับตัวสูงขึ้น 0.15%) ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ผู้ประกอบการก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการพิจารณา เปลี่ยน การกู้แบบ Floating rate ให้มาเป็น Fixed rate
3.ในส่วนค่าเงิน ทางศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่า การขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 3 ครั้งของเฟดจะสามารถส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าได้ถึง 1.5% เป็นอย่างน้อย และมองว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 35.40-36.20 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงที่เหลือของปีนี้
นอกจากนี้ตลาดเงินมีโอกาสที่จะผันผวนมากขึ้น ดังนั้นเพื่อบรรเทาผลกระทบจากค่าเงิน ผู้ประกอบการควรหาโอกาสป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงิน และควรมีการแบ่งขนาดการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน เพื่อรับมือกับความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ แนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นในอนาคตจะส่งผลกระทบต่อภาระผ่อนของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อบ้าน โดยทางศูนย์วิเคราะห์ฯมองว่า ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องลดภาระการผ่อน ในปีนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะเริ่มมองหาช่องทางในการรีไฟแนนซ์ และถ้าหากประชาชนต้องการกู้เงินเพื่อซื้อบ้านหรือคอนโด และมีความพร้อมที่จะผ่อนชำระ ปีนี้ก็เป็นโอกาสที่ดี ก่อนที่ดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้นเต็มตัว
"ผลกระทบของ Yellen Shock ที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นนั้น ชี้ให้เห็นว่า ตลาดการเงินนั้นยากที่จะคาดเดา สิ่งหนึ่งที่จะเห็นได้ชัดแน่นอนในปีนี้ก็คือ ความผันผวนที่จะมีมากขึ้นในตลาดจากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก นโยบายการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนในขนาดของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์อาจจะไม่ได้ตามที่ขอ ความเสี่ยงทางการเมืองในยุโรป และปัญหาหนี้เสียในจีน ดังนั้นผู้ประกอบการและนักลงทุนไทยจึงควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่จะเกิดขึ้น" เอกสารเผยแพร่ ระบุ