นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ในฐานะพันธมิตรที่ดีและร่วมมือกันในหลายโครงการ จับมือร่วมกันในชื่อ "กิจการการค้าร่วมโครงการอีเพเม้นต์" ได้รับการคัดเลือกจากคณะอนุกรรมการคัดเลือกและกำกับดูแลผู้ให้บริการวางอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์กระทรวงการคลัง เข้าร่วมดำเนินโครงการวางอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ National e-Payment ในการติดตั้งเครื่องรูดบัตร (EDC) จำนวน 550,000 รายทั่วประเทศ โดยมั่นใจว่าด้วยความแข็งแกร่งของฐานร้านค้ารับบัตรเครดิตเดิมของธนาคารกรุงเทพและธนาคารกสิกรไทยที่รวมกันแล้วมีส่วนแบ่งตลาดถึง 70% จะช่วยให้การดำเนินโครงการวางอุปกรณ์รับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์สำเร็จตามเป้าหมายของรัฐบาล และจะเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ในการชำระเงินเพื่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของคนไทย
โดยเฉพาะการรับบัตรที่มีโครงสร้างเครือข่ายระบบการชำระเงินของประเทศไทย (Local Card Scheme) หรือบัตรที่มีการประมวลผลในประเทศ (Local Switching) ตามแผนพัฒนาระบบสถาบันของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่มีแบรนด์ เทคโนโลยี และกฎข้อบังคับของตนเอง ที่จะทำให้ต้นทุนค่าธรรมเนียมต่ำลง สอดคล้องกับโครงการในครั้งนี้ที่ได้มีการกำหนดเพดานอัตราค่าธรรมเนียมการรับบัตร (Merchant Discount Rate) หรือ MDR สูงสุดไม่เกิน 0.55% ต่อครั้ง ดึงดูดให้ร้านค้าทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ยินดีรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยบัตรเดบิตมีจำนวนขยายตัวในวงกว้างเพิ่มมากขึ้น
ด้านนายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า การร่วมมือกับธนาคารกรุงเทพจะเพิ่มความมั่นใจให้กับร้านค้าต่างๆ มากขึ้น นอกจากนี้ ทั้งสองธนาคารมีกระบวนการทำงานที่สอดคล้องกัน สามารถจัดสรรเป้าหมายและแบ่งภาระความรับผิดชอบได้ชัดเจน มีการวางแผนความร่วมมือในระยะยาว ในการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาพัฒนาระบบการชำระเงินของประเทศให้ สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีต้นทุนที่ต่ำลง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมของประเทศ
โครงการนี้ได้เปิดโอกาสให้ธนาคาร ซึ่งเป็นผู้ได้รับสิทธิ์ในการติดตั้งเครื่อง EDC กับหน่วยงานภาครัฐสามารถเข้าไปมีส่วนในการขยายบริการทางการเงินให้กับหน่วยงานภาครัฐมากขึ้นกว่าเดิม สำหรับการเข้าติดต่อร้านค้านิติบุคคลและบุคคลธรรมดาจดภาษีมูลค่าเพิ่ม จะเป็นอีกช่องทางในการขยายฐานลูกค้า และเป็นการเปิดโอกาสให้ธนาคารได้นำเสนอผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เหมาะสมกับลูกค้ามากขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าในการตัดสินใจด้วย
"ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกสิกรไทย มีความยินดีและภาคภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับรัฐบาลที่มีเป้าหมายเพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินของประเทศ เพื่อลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจให้กับภาคเอกชน และส่งเสริมการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) และลดการใช้เงินสดในชีวิตประจำวัน" นายปรีดี กล่าว
ทั้งนี้ การกระจายติดตั้งเครื่องรูดบัตร (EDC) ทั่วประเทศให้กับหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และร้านค้าทั่วไป จะเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้ประชาชน และภาคธุรกิจ สามารถเข้าถึง และใช้บริการชำระเงินผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ เช่น บัตรเดบิต ได้อย่างสะดวกและแพร่หลายด้วยต้นทุนการจัดการเงินสดที่ลดลง ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะเป็นผลดีในระยะยาวต่อประเทศ ภาคธุรกิจการค้า และประชาชน ทำให้โครงสร้างเครือข่ายระบบการชำระเงินของประเทศไทยเทียบเท่าระบบสากล ตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยและรัฐบาลในเรื่อง National e-Payment ในการเชื่อมโยงระบบการชำระเงิน เพื่อเดินหน้าสู่สังคมไร้เงินสดได้ในอนาคต
นายพรชัย ฐีระเวช รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน อนุกรรมการและเลขานุการร่วมในคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการการให้ความรู้และส่งเสริมการใช้ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภายหลังพิธีลงนามวันนี้ ผู้ให้บริการจะเริ่มทยอยวางอุปกรณ์ฯ ทันที โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1 ปี 2561
ทั้งนี้ ผู้ให้บริการทั้ง 2 ราย จะดำเนินการที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและร้านค้า โดยจะเห็นได้จาก การปรับลดค่าธรรมเนียมการรับบัตรเดบิตที่ปกติจะเก็บในอัตรา 1.5 – 2.5 % ของมูลค่าเงินที่ชำระ เป็นเพียงไม่เกิน 0.55% เท่านั้น ซึ่งจะเป็นการช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจให้กับร้านค้าและจูงใจให้ร้านค้าเลือกรับบัตรอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น และจะไม่มีการเก็บค่าเช่าและค่าติดตั้งอุปกรณ์ฯ โดยอาจเก็บค่ามัดจำเพื่อป้องกันอุปกรณ์เสียหาย โดยร้านค้าจะได้คืนเมื่อยกเลิกการใช้บริการ
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้มีมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนร้านค้าที่ติดตั้งอุปกรณ์ฯ โดยให้ร้านค้าสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการรับบัตร (MDR) ไปหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ 2 เท่า จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ซึ่งมาตรการดังกล่าวนี้ จะช่วยร้านค้าให้ติดตั้งเครื่อง EDC ได้มากขึ้น อีกทั้งกระทรวงการคลังยังจะมีมาตรการจูงใจผ่านการชิงโชคการใช้บัตรเดบิตให้ประชาชนและร้านค้า เพื่อกระตุ้นการใช้บัตรและชำระเงินในระบบอีเพย์เมนต์ โดยจะจัดแคมเปญแจกรางวัล ให้ผู้ใช้และร้านค้าได้มีสิทธิลุ้นโชคจากการชำระเงินผ่านเครื่องรับบัตรและตู้ ATM เป็นระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 (สำหรับผู้ที่ใช้บริการในเดือนพฤษภาคม 2560) ซึ่งรางวัลจะมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 84 ล้านบาท