นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วันนี้กระทรวงการคลังได้จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ระหว่างสำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กรมบัญชีกลาง กรมสรรพากร กรมการปกครอง กรมที่ดิน กรุงเทพมหานคร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย (KTB) เพื่อร่วมมือกันดำเนินโครงการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบการเปิดโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 (โครงการฯ) ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 3 เมษายน - 15 พฤษภาคม 2560 ผ่าน 5 หน่วยงานรับลงทะเบียน ซึ่งประกอบด้วย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กรมบัญชีกลาง (สำนักงานคลังจังหวัด) และสำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงการคลัง จะเชื่อมโยงข้อมูลไปยังฐานข้อมูลของกรมการปกครองและกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย และฐานข้อมูลของกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง เพื่อนำไปใช้ในการจัดสวัสดิการที่เหมาะสมต่อไป
นอกจากนี้ โครงการฯ ยังได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อให้มีการสอบทานข้อมูลที่จำเป็นต่อการดำเนินโครงการฯ ต่อไป
กระทรวงการคลังจึงได้จัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 (พิธีลงนามฯ) ขึ้นเพื่อประสานความร่วมมือระหว่าง 11 หน่วยงานข้างต้น ในการดำเนินโครงการฯ ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่ การรับลงทะเบียน การจัดทำฐานข้อมูลของผู้ลงทะเบียน การตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียน และการประกาศชื่อผู้มีสิทธิ์ที่จะได้รับสวัสดิการแห่งรัฐ ให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างราบรื่น ภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลในการออกบัตรสวัสดิการ โดยเบื้องต้นจะสามารถนำไปใช้ลดภาระค่าสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา ค่าโดยสาร เป็นต้น ทั้งนี้ รูปแบบของการให้สวัสดิการ กระทรวงการคลังจะประกาศให้ทราบต่อไป
นายกฤษฎา กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของผู้ที่จะมาลงทะเบียนในโครงการฯ นั้น สามารถขอรับแบบฟอร์มลงทะเบียนได้ที่หน่วยลงทะเบียนทุกแห่งทั่วประเทศ หรือสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้จากเว็บไซต์ของกระทรวงการคลัง www.mof.go.th สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง www.fpo.go.th อีเปย์เม้นท์ www.epayment.go.th และเว็บไซต์ของหน่วยรับลงทะเบียนทั้ง 5 หน่วยงานข้างต้น ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อเตรียมกรอกข้อมูลที่ใช้ในการลงทะเบียน โดยข้อมูลที่ต้องใช้ในการกรอกข้อมูล เช่น บัตรประจำตัวประชาชนของตนเอง เลขบัตรประจำตัวประชาชนของบิดา มารดา และบุตร สมุดทะเบียนบ้าน ทะเบียนผู้พิการ ทะเบียนเกษตรกร เลขที่บัญชีเงินฝาก เป็นต้น และต้องสำรวจว่าตนเองมีรายได้ เงินฝาก และหนี้สินเท่าใด หลังจากกรอกแบบฟอร์มครบถ้วน ชัดเจน และถูกต้องตามความเป็นจริงแล้ว ต้องลงนามรับรองความถูกต้อง และลงนามยินยอมให้เปิดเผยและตรวจสอบข้อมูลของผู้ลงทะเบียนได้
นอกจากนี้ ในวันลงทะเบียน ผู้ลงทะเบียนต้องมาลงทะเบียนด้วยตัวเองที่หน่วยรับลงทะเบียนที่ใดที่หนึ่งที่ตนเองสะดวก โดยยื่นแบบฟอร์มที่กรอกพร้อมกับบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งควรเป็นบัตรประชาชนรุ่นใหม่หรือแบบ Smart Card เนื่องจากต้องนำรูปบนบัตรประจำตัวประชาชนมาไว้บนบัตรสวัสดิการ ตลอดจนเอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็นมาแสดงเพื่อยืนยันตัวตนและข้อมูลที่กรอกให้กับทางราชการ โดยไม่ต้องให้หน่วยรับลงทะเบียนเก็บไว้ ในกรณีผู้พิการและผู้สูงอายุที่ไม่สามารถเดินทางได้ ต้องมีหนังสือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมาแสดงในวันลงทะเบียนด้วย หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่จะกรอกข้อมูลของผู้มาลงทะเบียนเข้าระบบคอมพิวเตอร์ ผู้ลงทะเบียนต้องรับเอกสารหลักฐานการลงทะเบียนกลับไป โดยเจ้าหน้าที่จะฉีกออกจากส่วนท้ายของแบบฟอร์ม เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าการลงทะเบียนเสร็จสมบูรณ์
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สวัสดิการที่รัฐจะให้กับผู้ที่มาลงทะเบียน คาดว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 14 ล้านราย โดยกระทรวงการคลังจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบสิ่งที่จะดำเนินการและรูปแบบการให้สวัสดิการ เบื้องต้นจะช่วยเหลือด้านการเดินผ่าน ผ่านรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี และค่าสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำปะปา ผ่านบัตรสวัสดิการ คาดว่าจะเริ่มแจกได้ในเดือน มิ.ย.นี้
"มาตรการช่วยเหลือในครั้งนี้ อาจไม่ได้เป็นการแจกเงินเหมือนที่ผ่านมา เพราะว่าครั้งนี้เศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นแล้ว มาตรการมันก็ต้องแตกต่างกันไป คาดว่าหลังจากลงทะเบียนแล้วจะสามารถแจกบัตรสวัสดิการได้ในเดือน มิ.ย. ซึ่งในบัตรจะระบุมาตรการที่ให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น เรื่องของค่าน้ำ ค่าไฟ แต่จะสรุปอีกครั้งว่าจะให้ฟรีเลย หรือลด 25-50% เช่นเดียวกับค่าการเดินทาง ซึ่งที่ผ่านมาให้แบบเหวี่ยงแห คนรวย คนจน ได้หมด แต่ครั้งนี้จะให้สิทธิ์เฉพาะเลย" นายสมชัย กล่าว
พร้อมกันนี้ ในอนาคตกระทรวงการคลังจะเสนอมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมในด้านค่าเช่าที่อยู่อาศัย ค่าที่พัก เช่น มีภาระผ่อน 2 พันบาทต่อเดือน รัฐอาจช่วย 500 บาท -1,000 บาท และเรื่องทำประกันให้ผู้ที่มีรายได้น้อย รัฐจ่ายค่าเบี้ยให้ 99 บาท ซึ่งหากเข้ารักษาพยาบาลจะชดเชยรายได้ 300 บาท/วัน เป็นต้น ซึ่งทั้ง 2 มาตรการนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษา