น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กล่าวถึงกรณีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อีก 0.25% ว่า เป็นไปตามคาดการณ์เพราะเฟดส่งสัญญาณทยอยขึ้นดอกเบี้ยมาต่อเนื่อง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯกำลังฟื้นตัวอย่างจริงจัง
ทั้งนี้ การที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวจะส่งผลดีต่อสินค้าเกษตรและอาหารของไทยทั้ง ไก่ ทูน่า ผลไม้กระป๋อง และอาหารทะเล เมื่อสินค้าเกษตรส่งออกดีขึ้นก็จะทำให้ราคาสินค้าเกษตรในประเทศดีขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกของไทยในสัดส่วน 9.7% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย
อย่างไรก็ตาม ยังต้องเฝ้าระวัง เพราะการที่ราคาสินค้าเกษตรดีขึ้น แต่ราคาน้ำมันอาจจะไม่ได้ปรับตัวดีขึ้น ทำให้สินค้าส่งออกที่เกี่ยวกับน้ำมัน เช่น ปิโตรเคมี เม็ดพลาสติก และน้ำมันสำเร็จรูป ไม่ได้รับอานิสงส์ ขณะเดียวกันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนลงมาอยู่ที่ระดับ 35-36 บาท/เหรียญฯ แม้ว่าจะเป็นผลดีต่อภาพรวมการส่งออก แต่ต้องดูอัตราแลกเปลี่ยนของเพื่อนบ้านด้วยว่าสอดคล้องกันหรือไม่ เพราะจะสะท้อนถึงขีดความสามารถการแข่งขันได้
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังมั่นใจว่า มูลค่าการส่งออกของไทยเฉลี่ยเดือนละ 18,000 ล้านเหรียญฯ ยังคงมีความเป็นไปได้สูง และจะส่งผลให้การส่งออกทั้งปีนี้ของไทยเป็นไปได้ตามเป้าขยายตัว 5% จากปีก่อนตามที่คาดการณ์ไว้
ด้านนายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด แสดงให้เห็นถึงเศรษฐกิจของสหรัฐและโลกเริ่มฟื้นตัว จะส่งผลดีต่อการค้า การส่งออกของไทยและทั่วโลก โดยเอกชนเชื่อว่า การส่งออกไทยจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 2-3% ส่วนค่าเงินบาทน่าจะอ่อนค่าลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 35-36 บาท/เหรียญฯ ส่งผลดีต่อผู้ส่งออกให้เกิดความสบายใจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่น่าห่วง คือ เงินทุนไหลออก เพราะเม็ดเงินจะกลับเข้าไปในสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อสภาพคล่องในภูมิภาค และอาจทำให้ภูมิภาคปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตาม อีกทั้งยังต้องติดตามเรื่องของตลาด แม้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโต แต่มีความเสี่ยงที่จะถูกแย่งส่วนแบ่งตลาด หรือบางตลาดอาจได้รับผลกระทบจากสหรัฐฯ ดังนั้นจึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด รวมถึงยังต้องติดตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่น่าจะเกิดขึ้นอีก 2 ครั้ง เพราะจะมีผลต่อเศรษฐกิจของโลก