พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "การขับเคลื่อน Thailand 4.0 ด้านเกษตร อาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ" โดยระบุว่า วันนี้โลกต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งสภาพอากาศ ภัยก่อการร้าย และความเหลื่อมล้ำ ดังนั้นทุกคนต้องคิดและรู้เท่าทัน ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองในทุกด้าน ทั้งความเป็นอยู่ การประกอบธุรกิจ ขณะที่เรื่องเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าสูงมาก ทุกคนควรใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่เพื่อความบันเทิงเพียงอย่างเดียว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ทุกคนต้องไม่หยุดนิ่ง ที่ผ่านมามีคนพยายามเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งรัฐบาลไม่ได้ต่อต้าน แต่ต้องอยู่ในกรอบที่ถูกต้อง อย่าบิดเบือน ซึ่งหลายประเทศสามารถแก้ปัญหาได้ เว้นแต่ไทยไม่สามารถแก้ไขได้ จึงต้องมีการจัดระเบียบ
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ตนเองทำเพื่อคน 70 ล้านคน ไม่ใช่เพื่อคนใดคนหนึ่ง ซึ่งทุกคนต้องช่วยกันลดความขัดแย้ง ถ้าทุกคนช่วยกันก็จะเกิดความปรองดอง และอย่าไปทำตามสิ่งที่คนไม่หวังดีชักชวน ซึ่งการแก้ปัญหาของรัฐบาลต้องดำเนินการเรื่องง่ายก่อนเรื่องยาก และพร้อมรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีคนบางกลุ่ม พยายามแอบอ้างว่ารู้จักตนเองเพื่อนำไปแสวงหาผลประโยชน์ ดังนั้นขอยืนยันว่าตนไม่เคยใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวไปเอื้อประโยชน์ให้ใคร ขออย่าเชื่อข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง พร้อมระบุว่า ตนพยายามทำสิ่งที่ดีให้กับประเทศ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี แต่มีคนบางกลุ่มพยายามนำเสนอและพูดแต่สิ่งที่ไม่ดี ซึ่งรัฐบาลต้องทำหน้าที่ชี้แจงทั้งในประเทศและเวทีนานาชาติ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
"วันนี้ไทยต้องไปชี้แจงเรื่องสิทธิมนุษยชนไป 3 วันแล้วเราส่งผู้แทนไป 30 คน อีกพวกหนึ่งบอกว่าไปทำไม ไปตั้ง 30 คนไปแค่ 2 คนก็พอ ได้สั่งปลัดกระทรวงยุติธรรมไปชี้แจงในทุกเรื่องทั้งเรื่องการใช้มาตรา 44, พ.ร.ก., พ.ร.บ. และชี้แจงสถานการณ์ในประเทศว่าเกิดอะไรบ้าง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าสิ่งที่เป็นปัญหาอีกเรื่อง คือความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจากการขึ้นทะเบียนผู้มีรายได้น้อย พบว่ายังมีประชาชน 14 ล้านคน มีรายได้ไม่ถึง 1 แสนบาทต่อปี ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องหาสวัสดิการต่างๆ เข้ามาให้การช่วยเหลือ ทั้งด้านการศึกษาและสาธารณสุข โดยยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีแนวคิดจะลดสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลลง แต่ในทางกลับกันจะปรับปรุงให้ดีขึ้น
พร้อมย้ำว่า อย่านำเสนอข่าวเรื่องการปรับขึ้นภาษี เพราะยืนยันว่ารัฐบาลไม่เคยคิดจะลดสิทธิประโยชน์ใดๆ สิ่งใดที่ทำไปแล้วมีความขัดแย้งสูงก็จะไม่ทำ รัฐบาลไม่คิดจะออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้เพียงอย่างเดียว แต่จะพิจารณาว่าประชาชนจะได้รับประโยชน์อย่างไรด้วย โดยรัฐบาลได้นำกฎหมายเก่ากว่า 3,000 ฉบับ มาทบทวน เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อเดินหน้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 และตั้งแต่เข้ามาได้ขับเคลื่อนโครงการต่างๆ มากมาย เน้นการผลิตและใช้เทคโนโลยี เครื่องจักร ขณะที่แรงงานก็ต้องพัฒนาตัวเอง เพื่อให้เป็นหัวหน้างานในอนาคต
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีแนะนำเกษตรกรต้องปรับตัวเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 ปรับเปลี่ยนจากผู้ผลิตไปเป็นผู้ประกอบการ และต้องปลูกพืชให้เกิดความเหมาะสม พร้อมแนะนำให้ปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นที่มีรายได้ ยึดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์พระราชา และใช้แนวทางการพัฒนาตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 เป็นการสร้างความเข้มแข็งจากภายในและสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยคาดหวังว่าในปี 2564 จะเห็นการพัฒนาทั้งในเรื่องของคน โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น รถไฟทางคู่ที่จะต้องเกิดขึ้นให้ได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า เป็นห่วงกรณีหนอนหัวดำทำลายพื้นที่เพาะปลูกมะพร้าว โดยสั่งการให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดูแลปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุการเกิดปัญหา พร้อมย้ำว่ารัฐบาลไม่ห้ามการเพาะปลูกข้าวนาปรัง แต่ต้องให้ความรู้เกษตรกรเกี่ยวกับปริมาณน้ำที่ใช้ในการเกษตรที่อาจไม่เพียงพอกับทุกพื้นที่ เพราะต้องมีน้ำไว้สำหรับการอุปโภคบริโภคด้วย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกทางราชการว่า บางคนต้องการความสะดวกก็เสนอเงินให้ และท้ายที่สุดการทุจริตยังมีอยู่ ดังนั้นจึงถือเป็นการสมยอมกัน
"วันนี้ยังช้าอยู่ จึงเป็นบ่อเกิดในการเรียกหรือให้ผลประโยชน์ ต่อไปใครเรียกรับผลประโยชน์ให้มาแจ้งที่ศูนย์ดำรงธรรมหรือจะแจ้งมาที่นายกฯ ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ไม่เช่นนั้นก็จะพูดกันไปทำให้เสียหายว่าประเทศไทยขี้โกงทั้งประเทศ แบบนั้นไม่ใช่ เราต้องแก้ปัญหาภายใน อย่าไปตะโกนให้โลกรู้ ประจานกันอยู่ได้ ไม่ยอมทำสิ่งที่ดีกลบสิ่งที่ไม่ดี ผมยืนยันว่าไม่ได้ทิ้งสิ่งที่ไม่ดีให้อยู่สบาย ๆ เพราะต้องมีการลงโทษกันต่อไป แต่ก็โพนทะนากันทั่วไปหมด เขาก็ฟังและดูกันทุกวัน อ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว