หอการค้าไทย จัดประชุมใหญ่สามัญสมาชิก ครั้งที่ 51 พร้อมเลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่แทนคณะกรรมการชุดเดิมที่หมดวาระลง โดยนายกลินท์ สารสิน ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการหอการค้าไทยคนใหม่ ต่อจากนายอิสระ ว่องกุศลกิจ โดยคณะกรรมการฯ ชุดใหม่นี้ จะเน้นผลักดันนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดผลจริง ควบคู่กับการสร้างภูมิคุ้มกันด้วยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ยกระดับความสามารถทางการแข่งขันให้กับสมาชิกผู้ประกอบการ เพื่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทย
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยคนใหม่ กล่าวว่า ปัจจุบันหอการค้าไทยมีจำนวนสมาชิกและเครือข่ายทั้งหมดประมาณ 100,000 ราย ซึ่งถือว่าเป็นองค์กรที่มีจำนวนสมาชิกและเครือข่ายมากที่สุดองค์กรหนึ่ง ดังนั้นการเข้ามาทำหน้าที่เป็นประธานกรรมการหอการค้าไทย จึงจะต้องทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สมาชิก จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ในการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ คือ เป็นสถาบันหลักทางการค้าและบริการของประเทศที่ใช้ข้อมูล ความรู้ เครือข่าย และความร่วมมือที่เข้มแข็ง เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนประเทศไทยให้เติบโตได้ในตลาดโลกอย่างยั่งยืน
พร้อมกันนี้ ยังได้กำหนดพันธกิจไว้ 5 ประการ สำหรับขับเคลื่อนองค์กรเพื่อให้บรรลุผลตามวิสัยทัศน์ที่วางไว้ ประกอบด้วย
1. เสริมความสามารถในการแข่งขันและโอกาสทางการค้าและบริการให้กับผู้ประกอบการในทุกภาคส่วน ด้วยข้อมูลนวัตกรรม และมาตรฐานในการดำเนินธุรกิจ (Competency Enhancement)
2. สร้างความเชื่อมโยงและร่วมมือให้เกิดความเข้มแข็งของเครือข่าย ทั้งภาครัฐและเอกชน ในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลก (Network Collaboration)
3. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมตามแนวทางประชารัฐ สร้างธรรมาภิบาลการดำเนินธุรกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน (Transparency and Social Engagement)
4. ต่อยอดความรู้และประสบการณ์ สร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจ (Knowledge and Experience Sharing)
5. พัฒนาการบริหารจัดการองค์กรทั้งเครือข่าย ให้มีประสิทธิภาพ และมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อสังคม (Organization Development)
นายกลินท์ กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้ จะสานต่องานเดิมของคณะกรรมการชุดที่แล้ว เพื่อการดำเนินงานที่มีพลังต่อเนื่อง และจะมุ่งเน้นการดำเนินงานที่สอดรับกับนโยบาย Thailand 4.0 ตามแนวคิด Trade & Services 4.0 ด้วยการใช้นวัตกรรม (Innovation) และความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นจริง (Execution) ด้วยการพัฒนา และยกระดับความสามารถทางการแข่งขันให้แก่สมาชิก 100,000 รายทั่วประเทศโดยเฉพาะใน 3 กลุ่มหลัก คือ เกษตรอาหาร การค้า ท่องเที่ยวและบริการ ซึ่งหอการค้าไทย มีจุดแข็งที่สำคัญ คือ เป็นองค์กรที่มีเครือข่ายรอบด้าน จึงทำให้มีความเข้าใจในความต้องการและปัญหาของสมาชิกอย่างแท้จริง และเป็นศูนย์กลางของคลังข้อมูลด้านต่างๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อสมาชิก อาทิ ข้อมูลโดยตรงจากสมาคมการค้าต่างๆ ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่ใกล้ชิดและรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว ข้อมูลเชิงลึกในแต่ละพื้นที่จากหอการค้าจังหวัดทั่วประเทศ ข้อมูลและความต้องการของหอการค้าต่างประเทศ และข้อมูลความต้องการจากผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของหอการค้า (Young Entrepreneur Chamber of Commerce: YEC) รวมทั้งข้อมูลด้านวิชาการจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เป็นต้น
"หอการค้าไทย ยังคงน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการขับเคลื่อนภาคธุรกิจ คือ พอเพียง ดำเนินธุรกิจเติบโตด้วยความรอบคอบ และมีภูมิคุ้มกันที่ดี บนเงื่อนไขของความรู้คู่กับคุณธรรม ส่งเสริมให้สมาชิกดำเนินธุรกิจด้วยความไม่ประมาท อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่เป็นระบบ สามารถปรับตัวพร้อมรับมือกับผลกระทบด้านต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นสภาพการแข่งขันที่รุนแรง และรวดเร็วจากโลกภายนอก การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการทำการค้า รวมไปถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เข้ามามีบทบาทในโลกธุรกิจ ทั้งนี้เพื่อให้สมาชิกเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน อันจะส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไปในอนาคต" ประธานกรรมการหอการค้าไทย ระบุ
นอกจากนั้น คณะกรรมการชุดนี้จะทำงานแบบลงลึกในแต่ละด้าน (Agenda Base) ดูทั้ง Value Chain ทั้งหมด โดยการใช้ความรู้และประสบการณ์ของเครือข่ายให้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงเครือข่ายสมาคมการค้าและหอการค้าต่างประเทศ ซึ่งมีบทบาทหน้าที่เฉพาะด้าน (Function Base) และหอการค้าจังหวัด ซึ่งมีความเข้าใจในพื้นที่ (Area Base) ผสานกับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของหอการค้า (YEC) ที่จะเข้ามาเติมเต็มแนวคิดของคนรุ่นใหม่ เพื่อการพัฒนาประเทศได้อย่างรอบด้าน
"ความร่วมมือที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือความร่วมมือกับภาครัฐ ซึ่งจะดำเนินการต่อเนื่องจากคณะกรรมการชุดก่อนตามแนวทางประชารัฐ รวมทั้งความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา ทั้งมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและสถาบันการศึกษาในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นส่วนสนับสนุนในภาควิชาการที่จะมาช่วยพัฒนาเศรษฐกิจในทุกภูมิภาคอย่างเป็นระบบต่อไป" นายกลินท์ กล่าว