นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "CLMVT พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ของเอเชีย"ว่า CLMVT มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ถือเป็นศูนย์กลางในอาเซียนและทางด้านเศรษฐกิจ และตลาด CLMVT จะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลต่อดีต่อตลาดแรงงานที่ไทยมีความต้องการ และกลุ่มธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนใน CLMVT ซึ่งขณะนี้มีกว่า 100 บริษัทที่เข้าไปลงทุน และในอนาคตจะมีบริษัทในกลุ่ม CLMVT เข้ามาลงทุนในไทยด้วย เกิดการเชื่อมโยง และเพิ่มความสามารถทางการผลิต
ทั้งนี้ ในอนาคตอาจจะเห็นการใช้เงินสกุลเดียวกันในกลุ่ม CLMVT และเกิดการเชื่อมโยงในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ทุกประเทศได้รับผลประโยชน์ร่วมกันในลักษณะ win-win และการดำเนินนโยบายของไทย ยึดหลักการ stronger together ซึ่งจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และต้องเปลี่ยนแนวคิดจากการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านมาเป็นช่วยเหลือและพึ่งพากัน เพราะถ้าหากประเทศเพื่อนบ้านเติบโตมากขึ้นเท่าไหร่ จะส่งผลดีต่อประเทศไทยมากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ นายสมคิด กล่าวว่า CLMVT จำเป็นต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์ หรือ Master Plan ที่ต้องการให้เกิดขึ้นในอนาคตให้มีความชัดเจน ซึ่งเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยในการต่อรองกับประเทศใหญ่ๆมากขึ้น โดยเห็นว่าเรื่องดิจิตอลและฐานความรู้เป็นสิ่งสำคัญ และความร่วมมือทางเศรษฐกิจต้องเป็นลักษณะการเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล และกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศ และการที่ไทยมีนโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ก็หวังจะให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจในกลุ่ม CLMVT ทั้งเรื่องระบบขนส่งและท่าเรือ
อย่างไรก็ตาม นายสมคิด มองว่า ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้การรวมกลุ่ม CLMVT สำเร็จได้ ทุกประเทศต้องมีความไว้ใจซึ่งกันและกัน ต้องลืมความขัดแย้งในอดีต และมองถึงผลประโยชน์ร่วมกัน และเชื่อว่าในขณะนี้ผู้นำประเทศในกลุ่ม CLMVT มีความสนิทสนมกันมาก ซึ่งเมื่อกลุ่ม CLMVT เข้มแข็ง จะส่งผลดีต่อการออก การท่องเที่ยว และการเมือง และอำนาจต่อรองมีเพิ่มมากขึ้นด้วย และส่งผลต่ออาเซียนเข้มแข็งไปด้วย