รายงานข่าว แจ้งว่า เช้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเป็นประธานสักขีพยานการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ระหว่าง กองทัพเรือ, บมจ.การบินไทย (THAI) และสถาบันการบินพลเรือน
สำหรับพื้นที่โครงการดังกล่าวที่นายกรัฐมนตรีและคณะจะไปเยี่ยมชมอยู่ภายในสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งจะใช้ก่อสร้างเป็นทางวิ่งหมายเลข 2, ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน, ศูนย์ขนส่งสินค้าทางอากาศและโลจิสติกส์ และศูนย์ฝึกอบรมด้านการบินและอวกาศ โดยจะรับฟังการบรรยายภาพรวมของโครงการจาก พล.ร.อ.ทวีชัย บุญอนันต์ ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพเรือ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานพิจารณาโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนนโยบายรัฐบาล และ พล.ร.ต.วรพล ทองปรีชา ผู้อำนวยการท่าอากาศยานอู่ตะเภา
หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานสักขีพยานการลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ระหว่าง กองทัพเรือ, THAI และสถาบันการบินพลเรือน รวม 3 ฉบับ
พล.ร.อ.ณะ อารินิจ ผู้บัญชาการทหารเรือ กล่าวว่า กองทัพเรือ, THAI และสถาบันการบินพลเรือน ตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมและสนับสนุนนโยบายรัฐบาลที่จะเร่งผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์พื้นที่ภายในสนามบินอู่ตะเภาเพื่อรองรับแผนพัฒนา EEC ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม สามารถสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพิ่มการจ้างงาน ยกระดับคุณภาพชีวิตและรายได้ของประชาชน และเพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติตามแนวทางประเทศไทย 4.0 ให้บรรลุตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลโดยเร็ว
ดังนั้น ทั้งสามฝ่ายจึงเห็นพ้องร่วมกันให้มีการจัดทำ MOU รวม 3 ฉบับ ได้แก่ 1.MOU ความร่วมมือด้านการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน ระยะที่ 1 ระหว่างกองทัพเรือกับ THAI เพื่อให้เกิดการประสานความร่วมมือในการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์กลางการซ่อมบำรุงอากาศยานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีการซ่อมบำรุงอากาศยานที่มีความทันสมัยและได้มาตรฐานสากลที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความปลอดภัย สามารถให้บริการซ่อมบำรุงอากาศยานทุกระดับและหลากหลายประเภท
2.MOU ความร่วมมือด้านการพัฒนาศูนย์ขนส่งสินค้าทางอากาศและโลจิสติกส์ ระยะที่ 1 ระหว่างกองทัพเรือ และ THAI เพื่อให้เกิดการประสานความร่วมมือในการผลักดันให้มีการพัฒนาและยกระดับสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางอากาศและโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่มีความทันสมัยและได้มาตรฐานสากล รวมถึถงการจัดให้มีคลังสินค้าในลักษณะเขตปลอดอากร (Cargo Free Zone) โดยมีการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีคลังสินค้าอัจฉริยะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัย สามารถให้บริการคลังสินค้าที่มีการเชื่อมต่อระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจรด้วยความรวดเร็วและตรงเวลา
3.MOU ความร่วมมือด้านการพัฒนาศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินและอวกาศ ระหว่างกองทัพเรือกับสถาบันการบินพลเรือน เพื่อให้เกิดการประสานความร่วมมือในการผลักดันให้มีการพัฒนาศักยภาพสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์กลางแห่งความเป็นเลิศในการผลิตบุคลากรด้านการบินและอวกาศของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ได้รับการรับรองคุณภาพและมาตรฐานจากองค์กรควบคุมการบินต่างๆ มีการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการฝึกอบรมที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิงแวดล้อมและปลอดภัย สามารถผลิตบุคลากรด้านการบินและอวกาศให้มีคุณภาพได้มาตรฐานสากล และมีจำนวนเพียงพอที่จะรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ของประเทศไทยและภูมิภาคในอนาคต โดยเฉพาะธุรกิจการซ่อมบำรุงและการผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน
สำหรับขอบเขตของความร่วมมือยังครอบคลุมถึงการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรด้านการบินและโลจิสติกส์ของไทย การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง และเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมการบิน รวมทั้งการประสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และเอกชนที่มีศักยภาพที่ในประเทศและต่างประเทศ
ด้านนางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ THAI กล่าวว่า THAI และกองทัพเรือจะประสานความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลที่จำเป็น และร่วมกันศึกษาความต้องการโครงสร้างพื้นฐาน ระยะที่ 1 สำหรับการพัฒนาศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานที่สนามบินอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์กลางการซ่อมบำรุงอากาศยานแห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก และการพัฒนาศูนย์สินค้าทางอากาศและโลจิสติกส์เพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางอากาศและโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียน
"นับเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญชองบริษัทฯ ที่จะพลิกโฉมสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานและศูนย์ขนส่งสินค้าทางอากาศและโลจิสติกส์ของประเทศไทยที่เพียบพร้อมด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีที่ทันสมัยด้วยมาตรฐานคุณภาพระดับสากล"นางอุษณีย์ กล่าว
ส่วน พล.ร.ต.ปิยะ อาจมุงคุณ ผู้ว่าการสถาบันการบินพลเรือน กล่าวว่า สถาบันฯ มีพันธกิจในการผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านการบินและอวกาศให้มีมาตรฐานสากล มีความพร้อมที่จะดำเนินการให้สอดรับกับแนวนโยบายของรัฐบาล โดยร่วมมือกับกองทัพเรือเพื่อพัฒนาศักยภาพสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์กลางแห่งความเป็นเลิศและผลิตบุคลากรด้านการบินและอวกาศที่มีคุณภาพได้มาตรฐานสากลป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมการบินทั้งในประเทศและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
การลงนามบันทึกความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์บริเวณพื้นที่ภายในสนามบินอู่ตะเภา เพื่อรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก:เมืองการบินภาคตะวันออก (Special Eastern Economic Corridor:Eastern Airport City) ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจของไทยให้เข้มแข็งและเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนตลอดไป