นายประพนธ์ วงษ์ท่าเรือ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า การบังคับใช้กฎหมายสำหรับการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงานที่คาดว่าจะเริ่มมีผลตั้งแต่ต้นปี 61 จะสามารถช่วยลดสัดส่วนการใช้พลังงานได้ไม่น้อยกว่า 10% จากเป้าหมายที่กระทรวงพลังงานกำหนดไว้ตามแผนอนุรักษ์พลังงานของประเทศ (EEP2015) พ.ศ.2558-2579 ที่จะต้องลดสัดส่วนการใช้พลังงานให้ได้ 30% ภายในปี 79
“ขณะนี้รอรายละเอียดเพื่อจัดทำเป็นร่างกฎกระทรวง รอเข้าครม.และกฤษฎีกาตรวจ น่าจะมีผลบังคับใช้ต้นปี 61 สำหรับพื้นที่อาคารที่มีขนาดตั้งแต่ 10,000 ตารางเมตรขึ้นไปก่อน ซึ่งคาดว่าจะมีประมาณ 100 อาคารต่อปี น่าจะลดการใช้พลังงานไม่น้อยกว่า 10%"นายประพนธ์ กล่าว
นายประพนธ์ กล่าวว่า หลังจากนั้นจะทยอยบังคับใช้กับอาคารพื้นที่ตั้งแต่ 5,000 ตารางเมตรตั้งแต่ปี 62 และบังคับใช้สำหรับอาคารพื้นที่ตั้งแต่ 2,000 ตารางเมตร ภายในปี 63
วันนี้ กระทรวงพลังงาน โดย พพ.ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ การส่งเสริมการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงานตามกฎหมายและการส่งเสริมบ้านที่อยู่อาศัยเพื่อการอนุรักษ์พลังงานกับภาคเอกชน 5 แห่ง ได้แก่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) บมจ.พฤษา เรียลเอสเตท ในกลุ่ม บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) ,บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) ,บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) และบริษัท นารายณ์พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการส่งเสริมให้ภาคเอกชนมีการออกแบบอาคารเพื่อการอนุรักษ์พลังงานตามกฎหมาย และส่งเสริมบ้านที่อยู่อาศัยเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ก่อให้เกิดการประหยัดพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม
นายประพนธ์ กล่าวอีกว่า การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่ง พพ.มีแผนปฏิบัติการเชิงรุก 2 รูปแบบ ทั้งการจัดทำมาตรการบังคับใช้ในทางกฎหมาย และแผนการรณรงค์ส่งเสริม โดยเชิญชวนภาคเอกชนขนาดใหญ่เข้าร่วม เป็นเครือข่ายความร่วมมือ และขยายเครือข่ายไปยังผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นต่อไป ซึ่งกระทรวงจะให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาสถาปนิก การออกแบบ การเปิดอบรม สัมมนา เป็นต้น
นายธิติพัทธ์ อดิลักษณ์ธราดล กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม 1 ของ PSH คาดว่าการดำเนินการดังกล่าวจะไม่เพิ่มต้นทุนให้กับกลุ่มบริษัทมากนัก ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มบริษัทมีทีมงานนวัตกรรมในทุกหน่วยธุรกิจออกแบบให้เป็นตามเป้าหมายกฎหมายสิ่งแวดล้อม และการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ลูกค้า
ส่วนตลาดคอนโดมิเนียม ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้มองว่ายังอยู่ในทิศทางที่ดี อาจเป็นเพราะมีการเลื่อนเปิดโครงการในช่วงไตรมาส 4/59 ที่ผ่านมา แต่หลังจากนี้ในช่วงครึ่งหลังของปียังต้องติดตามเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะเข้ามาทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะประเด็นภาวะเศรษฐกิจที่การฟื้นตัวยังไม่มีความชัดเจนมากนัก อาจจะกระทบต่อ sentiment ได้ แม้มองว่าในแง่กำลังซื้อไม่ได้กระทบมากนัก โดยในช่วงไตรมาส 1/60 ที่ผ่านมาธุรกิจคอนโดมิเนียมของกลุ่มบริษัทถือว่าทำได้ตามเป้าหมาย