นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ได้ลงนามความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดให้บริการชำระค่าเช่าที่ราชพัสดุผ่านช่องทางการชำระเงินด้วยบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านเครื่องรับบัตร EDC (บัตรเครดิตและบัตรเดบิต) และการหักบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย เพื่อให้ผู้เช่าที่ราชพัสดุมีช่องทางในการชำระเงินที่สะดวกขึ้น สามารถดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง และเปิดให้ชำระค่าเช่าข้ามเขตได้ ที่สำนักงานธนารักษ์พื้นที่ ซึ่งจะทำให้ปัญหาค้างชำระค่าเช่าลดลงได้ จากปัจจุบันที่มียอดค่าเช่าค้างชำระให้กับกรมธนารักษ์ในหลักร้อยล้านบาทต่อปี
"การเปิดชำระค่าเช่าผ่านช่องทางกรุงไทย จะสามารถช่วยให้ผู้เช่าชำระค่าเช่าได้สะดวก ตรงเวลามากขึ้น ซึ่งบางจังหวัดก็ไม่มีปัญหา บางจังหวัดก็ค้างชำระมาก บางพื้นที่มีภาระค่าเช่ากับกรมเดือนละหลักไม่กี่ร้อยบาท เขาก็ไม่สะดวกจะเดินทางมาจ่าย ความร่วมมือกับกรุงไทยน่าจะช่วยแก้ปัญหายอดค้างชำระในอดีตที่สูงมากให้ลดลงมากได้"นายจักรกฤศฏิ์ กล่าว
สำหรับการชำระค่าเช่าด้วยบัตรเอทีเอ็ม วีซ่าเดบิตของธนาคารกรุงไทย จะมีค่าธรรมเนียมในอัตราคงที่ 15 บาทต่อรายการไม่จำกัดวงเงินรับ ส่วนบัตรเครดิต เดบิต ต่างธนาคาร จะมีค่าธรรมเนียม 1% ของยอดชำระต่อรายการ ขณะที่การชำระโดยการหักบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย คิดอัตราเหมาจ่ายที่ 10 บาทต่อหนึ่งใบแจ้งชำระเงิน ไม่จำกัดวงเงินรับชำระ ทั้งนี้ ผู้เช่าจะเริ่มใช้บริการได้ตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย.60 เป็นต้นไป
นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวว่า การร่วมมือกับธนาคารกรุงไทยอยู่ในแผนการเพิ่มประสิทธิภาพช่องทางการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ให้ครบวงจร ซึ่งขณะนี้ดำเนินการครบแล้วทั้ง 4 แนวทาง ประกอบด้วย 1.การร่วมมือกับ บริษัท เคาท์เตอร์เซอร์วิส จำกัด 2.การชำระผ่านบัตรเดบิต เครดิต 3.การหักผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย และ 4.การชำระเงินต่างพื้นที่ทั่วประเทศ โดยได้เปิดบริการช่องทางชำระเงินผ่าน เคาท์เตอร์เซอร์วิส ไปแล้วเมื่อวันที่ 24 มี.ค.60 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้เสนอให้สำนักงานงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) พิจารณาการปรับเงื่อนไขผู้เข้าโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ โดยจะให้แก้ไขจากเดิมกำหนดผู้ที่เข้าโครงการว่าต้องเป็นบ้านหลังแรกเท่านั้น โดยให้ปรับใหม่เป็นไม่จำกัดในส่วนนี้ เพื่อเปิดกว้างให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโครงการได้มากขึ้น ส่วนหลักเกณฑ์อื่นๆ ยังเป็นไปตามเดิม โดยคาดว่าจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในเร็วๆ นี้
นายจักรกฤศฎิ์ กล่าวด้วยว่า กรมธนารักษ์ได้เสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาโครงการบ้านธนารักษ์ประชารัฐ เฟส 2 ใน 3 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพฯ (พระราม 3), เชียงใหม่ และปทุมธานี โดยคาดว่าทั้ง 3 โครงการจะสร้างเป็นที่อยู่อาศัยแนวตั้ง หรือห้องชุดกว่า 2,000 ยูนิต และโครงการ Senior Complex ซึ่งร่วมกับโรงพยาบาลรามาธิบดี คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างราว 2 ปี เพื่อรองรับผู้สูงอายุให้มีที่พักยามเจ็บป่วย โดยหลังจากกระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว จะเสนอให้ ครม. พิจารณาเห็นชอบต่อไป