ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยผลสำรวจพฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยของคนกรุงเทพฯ เพื่อสะท้อนถึงแนวโน้มความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย แต่แนวโน้มการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นไปอย่างยากขึ้น ยังเป็นข้อจำกัดความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัย โดยกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 51 ยังไม่ได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย และส่วนใหญ่ร้อยละ 76 มีแผนซื้อที่อยู่อาศัยใน 1-2 ปีนี้
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มตัวอย่างอีกร้อยละ 15 ที่มีแผนซื้อที่อยู่อาศัยใน 1-2 ปีนี้ เพื่อเก็งกำไรและปล่อยเช่า โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 68 เลือกซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลชานเมืองกรุงเทพฯ ที่อาจส่งผลให้มีที่อยู่อาศัยปล่อยเช่าออกสู่ตลาดมากขึ้น และเจ้าของที่อยู่อาศัยอาจเผชิญความท้าทายในการขึ้นค่าเช่าและหาผู้เช่า
"แม้ยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจากคนกรุงเทพฯ ใน 1-2 ปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย และมองหาที่อยู่อาศัยหลังแรก ซึ่งนับเป็นกลุ่มซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัยจริง แต่ยังมีข้อจำกัดด้านความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แนวโน้มการเข้าถึงสินเชื่อที่เป็นไปอย่างยากขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้มีแผนซื้อที่อยู่อาศัยมีความกังวลเป็นลำดับต้นๆ น่าจะยังเป็นแรงกดดันความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัย" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
สำหรับจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2560 อยู่ที่ 12,584 หน่วย หดตัวจากในช่วงเดียวกันของปี 2559 ร้อยละ 27 สะท้อนถึงแนวโน้มภาวะชะลอตัวของการเปิดขายที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยในปี 2560 ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ ส่งผลให้จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยขายได้ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2560 น่าจะอยู่ที่ 81,300-81,500 หน่วย หดตัวร้อยละ 6-7 เมื่อเทียบกับปี 2559 โดยเป็นผลมาจากการหดตัวในกลุ่มคอนโดมิเนียม เนื่องจากมีจำนวนคอนโดมิเนียมคงค้างเพิ่มสูงขึ้นในระยะที่ผ่านมา ประกอบกับยังมีจำนวนคอนโดมิเนียมเริ่มก่อสร้างใหม่ ส่งผลให้การขายคอนโดมิเนียมมีการแข่งขันที่สูงขึ้น อีกทั้งผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อปล่อยเช่าอาจชะลอการซื้อคอนโดมิเนียม เนื่องจากการแข่งขันในตลาดให้เช่าที่อยู่อาศัยเป็นไปอย่างรุนแรงมากขึ้น นับเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในการขายคอนโดมิเนียมในปี 2560 และในระยะถัดไป
"จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยขายได้ในกลุ่มแนวราบน่าจะยังคงทรงตัว เนื่องจากเป็นตลาดกลุ่มซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัยจริง สอดคล้องกับภาพที่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หันมารุกขายโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในปี 2560 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรุกขายโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบระดับบนที่เจาะตลาดผู้ซื้อที่อยู่อาศัยกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจในระดับต่ำ รวมถึงยังมีโอกาสถูกปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยในระดับต่ำอีกด้วย" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
สำหรับกลยุทธ์การประกอบธุรกิจในปี 2560 ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อาจให้ความสำคัญกับการเร่งระบายที่อยู่อาศัยคงค้างด้วยการให้ความสำคัญกับตลาดกลุ่มซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัยจริง โดยอาจเลือกเจาะกลุ่มผู้มีแผนซื้อที่อยู่อาศัยที่ยังไม่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อ และมีศักยภาพในการซื้อที่อยู่อาศัย โดยกลุ่มเป้าหมายที่น่าจะมีศักยภาพ ได้แก่ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงาน ที่ยังไม่มีภาระในการผ่อนชำระหนี้สิน และมองหาที่อยู่อาศัยหลังแรกเป็นของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งน่าจะได้รับความสนใจ และยังเป็นระดับราคาที่มีความสอดคล้องกับความสามารถในการผ่อนชำระของผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอีกด้วย โดยผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อาจสร้างจุดขายของโครงการที่อยู่อาศัยอย่างสอดคล้องกับวิถีชีวิตของกลุ่มคนรุ่นใหม่ เช่น การนำนวัตกรรมมาใช้ในการออกแบบ และกำหนดฟังก์ชั่นการอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ เป็นต้น
"ในส่วนของกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยควรซื้อที่อยู่อาศัยตามความต้องการอยู่อาศัยจริง รวมถึงเป็นที่อยู่อาศัยที่มีระดับราคาสอดคล้องกับความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่กลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุนอาจต้องพิจารณาอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ท่ามกลางข้อจำกัดในการขึ้นค่าเช่าและการหาผู้เช่า ซึ่งอาจส่งผลให้ผลตอบแทนจากการให้ผู้อื่นเช่าที่อยู่อาศัยไม่สูงดังเช่นในอดีต อีกทั้งยังมีประเด็นท้าทายจากการบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในปี 2561 ที่ส่งผลให้กลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่อาศัยในทำเลศักยภาพ อย่างศูนย์กลางธุรกิจ มีต้นทุนภาระภาษีจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น" เอกสารเผยแพร่ ระบุ