นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในช่วงบ่ายวันนี้จะหารือร่วมกับ รมว.คลัง เกี่ยวกับความคืบหน้ามาตรการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร โดยจะเสนอให้ รมว.คลังพิจารณาและหากผ่านความเห็นชอบแล้วก็จะเสนอ ครม.พิจารณาต่อไป แต่ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ เพราะเกี่ยวกับงบประมาณและหน่วยงานอื่นด้วย แต่เบื้องต้นอาจจะยังไม่สรุปภายในวันนี้ เพราะเรื่องนี้ยังต้องใช้เวลาและดำเนินการอย่างรอบคอบ
นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือกับ สศค.เกี่ยวกับการพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมตามที่ รมว.คลัง สั่งการ โดยจะเป็นการหารือเบื้องต้นแต่ยังไม่ลงลึกรายละเอียด ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของ รมว.คลังที่ต้องการสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เต็มศักยภาพที่ 4-5% จึงมอบหมายให้กระทรวงคลังกลับไปพิจารณาดูว่าจะมีมาตรการใดบ้างที่จะมาเติมเต็มศักยภาพของเศรษฐกิจไทย ซึ่งรายละเอียดอื่นๆ สศค.อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพื่อเสนอให้ รมว.คลังพิจารณา
นายสมชัย ยืนยันว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะสามารถขยายตัว 3.5% เป็นไปได้อย่างแน่นอน ส่วนจะถึง 4% หรือไม่คงต้องดูมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่จะออกมา รวมถึงความรู้สึกของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ แต่ขณะนี้ถือว่ามีสัญญาณที่ดีเนื่องจากไตรมาส 1/60 การลงทุนของภาคเอกชนขยายตัวได้ดีกว่าไตรมาส 4/59 และยอดคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ยังเติบโตใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่ยังต่ำกว่าปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตามตัวเลขดังกล่าวไม่ได้สะท้อนภาคการลงทุนทั้งหมด เพราะยอด BOI เป็นเพียงการลงทุนบางส่วนเท่านั้น
ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลได้พยายามสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมีส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ขึ้นอยู่กับความมั่นใจของนักลงทุน ดังนั้น ที่ผ่านมาที่เรายังโตไม่เต็มที่ก็เพราะว่านักลงทุนอาจจะยังไม่มั่นใจมากพอ ปัจจัยนี้มีผลค่อนข้างมากและต้องกลับไปดูในเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังเป็นพระเอกและยังทำหน้าที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดี คือ การท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนที่ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
"ตอนนี้เรากำลังพยายามสนับสนุนให้เอกชนเกิดการลงทุนมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการผ่านมาตรการภาษีและมาตรการสนับสนุนการลงทุนต่างๆ ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับที่ดี รวมทั้งโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ก็จะเป็นอีกมาตรการที่สนับสนุนการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และอุตสาหกรรมที่อาจจะมีปัญหาความอ่อนไหว เช่น เมดิคัลฮับ อีโคโนมิคฮับ ซึ่งเราจับมาใส่ใว้ใน EEC ซึ่งจะทำให้เกิดการลงทุนในภาคเอกชนมากขึ้น"นายสมชัย กล่าว