สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก ปรับประมาณการเติบโตของการส่งออกไทยปีนี้ อยู่ระหว่าง 2.5-3.5% จากเดิมคาดขยายตัว 2-3% พร้อมคาดว่าสถานการณ์ส่งออกในไตรมาส 2 จะเติบโตต่อเนื่องที่ 5%
อย่างไรก็ตาม สภาผู้ส่งออก มองว่าการส่งออกไทยในครึ่งปีหลังอาจไม่สดใสเท่าในช่วงครึ่งปีแรก โดยยังมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งทั้งในตะวันออกกลางและคาบสมุทรเกาหลี และสถานการณ์หนี้ทั่วโลกที่สูงถึง 315% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมทั่วโลก ซึ่งอาจนำมาสู่ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่รุนแรงและส่งผลต่อกำลังซื้อของทุกตลาดในที่สุด รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นการทำธุรกรรมผ่าน e-Commerce ซึ่งจะทำให้ยอดขายสินค้าผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าดั้งเดิมลดลงอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ได้เสนอแนะให้เร่งดำเนินการเพื่อเตรียมรับมือและบรรเทาความเสียหาย ได้แก่ 1.ประเมินสถานการณ์แบบเลวร้ายที่สุดเพื่อให้ทราบผลกระทบสำหรับการวางแผนรับมือ และบรรเทาความเสียหายให้กับผู้ประกอบการในแต่ละอุตสาหกรรมอย่างเหมาะสม 2.เร่งสร้างภาพลักษณ์ของประเทศและประชาสัมพันธ์ให้ประเทศคู่ค้าได้เข้าใจข้อเท็จจริงถึงสถานการณ์ภายในประเทศและเชื่อมั่นในสินค้าไทย 3.เร่งพัฒนายุทธศาสตร์สำคัญสำหรับการค้าระหว่างประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากไปได้
นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร สภาผู้ส่งออก เปิดเผยว่า จากการที่ยอดส่งออกในไตรมาสแรกของปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.) ขยายตัวได้ 4.88% และคาดว่าในไตรมาส 2 (เม.ย.-มิ.ย.) จะขยายตัวต่อเนื่องที่ระดับ 5% ทำให้ สรท.ปรับคาดการณ์ส่งออกปีนี้ในเบื้องต้นจะขยายตัวได้ 2.5-3.5% เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก และการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม สรท.ยังมีความกังวลเรื่องการขยายตัวของการส่งออกในช่วงไตรมาส 3-4 จากปัจจัยภายนอก ได้แก่ นโยบายทางเศรษฐกิจของสหรัฐ, มาตรการกีดกันทางการค้า (NTB) จากประเทศคู่ค้าและตลาดใหม่, ความเสี่ยงจากภัยสงคราม, หนี้สะสมทั่วโลกประมาณ 325% ของจีดีพีเศรษฐกิจโลก และปัญหาการปรับตัวด้านเทคโนโลยี
"สภาผู้ส่งออกมองว่า การส่งออกในไตรมาสแรกได้รับอานิสงค์จากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มสูงกว่าปีที่ผ่านมา ประกอบกับนักวิเคราะห์คาดว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะเติบโตมากขึ้น และคาดว่าการส่งออกไตรมาส 2 จะเติบโตต่อเนื่องที่ 5% เนื่องจากคู่ค้าในต่างประเทศเร่งซื้อสินค้าเพื่อทดแทนสินค้าคงคลังที่ลดต่ำลงอย่างมากในช่วงปลายปีที่ผ่านมา" นายคงฤทธิ์ ระบุ
ด้านนายชัยชาญ เจริญสุข กรรมการ สภาผู้ส่งออก ประเมินว่า การส่งออกของไทยในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ น่าจะขยายตัวได้ดีกว่าปีก่อนที่มีฐานยอดส่งออกต่ำเพียง 5.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จากปกติที่ควรจะเป็น 5.5-5.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ซึ่งหากไม่มีปัจจัยลบเพิ่มเติมไปจากที่คาดการณ์ไว้ การส่งออกในปีนี้น่าจะขยายตัวได้ 2.5-3.5%
สำหรับภาวะการส่งออกของไทยในปีก่อนนั้น ผู้นำเข้าในต่างประเทศชะลอการสั่งซื้อเนื่องจากเศรษฐกิจโลกถดถอย แต่ปีนี้คงเห็นว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี ทำให้มีคำสั่งซื้อมากขึ้น ส่วนการส่งออกในปีนี้จะสามารถขยายตัวได้ 5% ตามที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้นั้น คงจะต้องมีปัจจัยบวกมาเกื้อหนุนมากกว่านี้
สำหรับมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศคู่ค้าอาจจะมีความเข้มข้นมากขึ้น เช่น สหรัฐอาจนำมาตรการเหมือน IUU มาใช้, กลุ่มสหภาพยุโรปกำหนดมาตรฐานเรื่องแรงงาน มาตรฐานเรื่องชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อมของสถานประกอบการและสินค้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสนใจติดตามอย่างใกล้ชิด
น.ส.กัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออกคนใหม่ กล่าวว่า ปัจจัยที่ต้องจับตามอง ได้แก่ นโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐ, การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสนใจในเรื่องอีคอมเมิร์ซ, ผลการเลือกตั้งของประเทศในสหภาพยุโรป, ความต่อเนื่องกรณี Brexit เป็นต้น
ส่วนกรณีมีข่าวนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้เชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไปเยือนสหรัฐนั้น เชื่อว่าส่วนหนึ่งน่าจะแสดงให้เห็นถึงการที่รัฐบาลสหรัฐยอมรับภาพลักษณ์ของรัฐบาลไทย