นายชัยยุทธ คำคุณ รองอธิบดีกรมศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร ชี้แจงแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศุลกากรในการตรวจกระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารที่เดินทางจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย ณ ท่าอากาศยานนานาชาติ หลังเกิดกรณีที่มีการเผยแพร่รายงานการจับกุมนาฬิกา จำนวน 2 เรือน โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากร สำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ จนเกิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่ศุลกากรจึงจับกุมผู้โดยสารที่นำนาฬิกาติดตัวเข้ามาโดยใส่ไว้บนข้อมือของตนเอง และนำมาซึ่งความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ศุลกากร นั้น
กรมศุลกากร ชี้แจงว่า คดีดังกล่าวเป็นการจับกุมผู้โดยสารหญิง สัญชาติไทย จำนวน 2 ราย (ขอสงวนชื่อ) ซึ่งเดินทางมาจากเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2560 โดยสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ HX769 มาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลาประมาณ 02.35 น. ทั้งนี้ จากงานการข่าวแจ้งว่าจะมีผู้โดยสารลักลอบนำนาฬิกามูลค่าสูงเข้ามาเพื่อจำหน่ายในประเทศ โดยได้ส่งกล่องนาฬิกาเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วทางไปรษณีย์
จากการสืบสวน ติดตามของเจ้าหน้าที่พบว่าเมื่อกลับมาถึงประเทศไทย ผู้โดยสารได้ลักลอบนำนาฬิกาเข้าประเทศด้วยวิธีใส่บนข้อมือเพื่ออำพรางเจ้าหน้าที่ และจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าเป็นนาฬิกายี่ห้อ Audemars Piguet และ Patek Philippe ซึ่งเป็นของใหม่และยังไม่ได้มีการใช้งานแต่อย่างใด โดยผู้โดยสารทั้งสองรายยอมรับสารภาพว่าได้กระทำความผิดจริง เจ้าหน้าที่จึงได้จับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายศุลกากรต่อไป
ทั้งนี้ ในการดำเนินการการตรวจกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสารนั้น เจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์มาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลกขององค์การศุลกากรโลก (World Customs Organization : WCO) คือ
1. ใช้หลักเกณฑ์การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) โดยการตรวจสอบข้อมูลผู้โดยสาร ก่อนเดินทางเข้ามาถึงประเทศไทย
2. การสังเกตพฤติกรรมของผู้โดยสาร และลักษณะกระเป๋าสัมภาระเดินทาง
3. งานสืบสวนและงานการข่าว
อนึ่ง สถิติการจับกุมลักลอบนำเข้าสินค้าประเภทนาฬิกา กระเป๋า และรองเท้า ของสำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในปีงบประมาณ 2559 (ต.ค.58 – ก.ย.59) สามารถจับกุมได้ทั้งสิ้น 203 คดี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 136 ล้านบาท และปีงบประมาณ 2560 (ต.ค.59 – เม.ย.60) สามารถจับกุมได้ทั้งสิ้น 136 คดี คิดเป็นมูลค่าประมาณ 97.2 ล้านบาท