รายงานข่าวจากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เปิดเผยว่า ในการประชุมวันนี้คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง ได้เสนอรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง"แนวทางการปฏิรูปโครงสร้างภาษีและระบบบริหารจัดเก็บ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของแผ่นดิน"
พร้อมมีข้อเสนอให้มีการปรับเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากเดิมอีก 1% โดยกำหนดให้นำรายได้จากการจัดเก็บภาษีในส่วนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวไปใช้เฉพาะในด้านการศึกษาและการสาธารณสุขเท่านั้น คาดว่าจะทำให้สามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นจำนวนประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาท
อีกทั้งเห็นว่าการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มควรมีการจัดเก็บในรูปแบบที่มีหลายอัตรา โดยพิจารณากำหนดจัดเก็บภาษีในอัตราที่แตกต่างกันในแต่ละประเภทสินค้า กล่าวคือ พิจารณาว่าสินค้าประเภทใดมีความจำเป็นในการนำเข้า ส่งออก และบริโภคภายในประเทศ
สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคล กมธ.เห็นว่ากรมสรรพากรควรพิจารณาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลรายเดียวกันที่ประกอบธุรกิจในสาขาต่างๆ หลายแห่ง จะต้องทำการแยกบัญชีรายได้และรายจ่ายของสาขาแต่ละแห่งออกจากกัน เพื่อเสียภาษีในเขตพื้นที่ที่สาขานั้นๆ ตั้งอยู่โดยตรง โดยไม่ให้มีการรวมบัญชีเดียวกันเพื่อเสียภาษีอีกต่อไป
ส่วนภาษีลาภลอย ปัจจุบันรัฐบาลมีภาระการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ อาทิ การก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง ทำให้มูลค่าที่ดินเพิ่มสูงขึ้น หรือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่ทำให้ที่ดินมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐบาลยังไม่สามารถจัดเก็บรายได้ดังกล่าวได้ ดังนั้น สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ควรมีการพิจารณาศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีกรณีดังกล่าวโดยเปรียบเทียบกับการจัดเก็บภาษีในต่างประเทศและควรเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ทั้งนี้ ที่ประชุม สนช.เห็นชอบกับรายงานฉบับดังกล่าวโดยไม่มีการลงมติ จากนี้จะส่งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป