พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในหลักการกองทุนดูแลผู้สูงอายุตามที่กระทรวงการคลังเสนอ แต่ให้นำกลับไปปรับปรุงในรายละเอียดให้ครบถ้วนแล้วนำกลับมาเสนอ ครม.ใหม่
"นายกฯ ให้หลักการไปว่าการเพิ่มเบี้ย อย่าไปคิดว่าควรจะเพิ่มเท่าไหร่ แต่ต้องคิดว่าจะเอาเงินมาจากไหน" พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า รมว.คลัง ได้รายงานว่าเงินที่จะนำมาจัดสรรเพิ่มเติมให้กับผู้สูงอายุตามสถานการณ์นั้นส่วนหนึ่งมาจากผู้สูงอายุที่มีรายได้สูง ซึ่งพร้อมจะสละสิทธิโดยสมัครใจเพื่อเอาเงินเข้ากองทุนฯ ราว 10% หรือคิดเป็นเงิน 4 พันล้านบาท และในอนาคตหากจะขอกลับมารับสิทธิดังกล่าวก็สามารถทำได้
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงข้อเสนอของกระทรวงการคลังในการเพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 1,000-1,500 บาท/เดือนว่า การดำเนินการในเรื่องนี้จะต้องพิจารณาใน 3 มิติ ทั้งในเรื่องของการพิจารณาถึงจำนวนผู้สูงอายุที่จะเพิ่มขึ้นภายใน 4-5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะต้องพิจารณาควบคู่กับการจัดเตรียมงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการ และต้องพิจารณาในเรื่องของคนที่อยู่ในวัยทำงาน ซึ่งจากข้อมูลพบว่าคนในวัยแรงงานลดลง รัฐบาลจึงจำเป็นต้องผลิตคนให้ทันต่อความต้องการในตลาดแรงงาน
นอกจากนี้ยังต้องพิจารณากรณีที่อัตราการเกิดของคนไทยน้อยลง โดยที่ประชุมครม.เห็นชอบในหลักการให้มีการศึกษาปัจจัยทั้งหมดเพื่อประกอบการพิจารณาปรับขึ้นเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุ
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้ฝากประเด็นการพิจารณาเพิ่มเติม โดยให้มีการตรวจสอบรายชื่อผู้สูงอายุที่จะต้องยึดโยงกับข้อมูลของประชาชนที่ได้ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยกว่า 14 ล้านคน เพื่อใช้ในการกำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและตรงความต้องการ
พร้อมทั้งยืนยันว่าสำหรับเบี้ยยังชีพที่ได้ให้กับผู้สูงอายุไปแล้วยังคงดำเนินการตามเดิม จะไม่มีการลดเงินช่วยเหลือแต่อย่างใด และฝากให้นำแนวคิดของกระทรวงการคลังไปพิจารณาประกอบการตัดสินใจถึงแนวทางสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้เพียงพอและต้องการสละสิทธิ เพื่อนำเงินส่วนดังกล่าวไปช่วยเหลือผู้สูงอายุในกลุ่มที่มีรายได้น้อย โดยอาจพิจารณาให้รางวัลเป็นการแสดงความขอบคุณ