นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้สรุปผลการบริหารจัดการ และแก้ไขปัญหาข้าวในช่วง 3 ปีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้ามาบริหารประเทศ โดยสามารถแก้ไขปัญหาตกค้างมาจากโครงการรับจำนำข้าว เริ่มจากการเร่งจ่ายเงินให้กับชาวนาที่ยังไม่ได้รับเงินกว่า 70,000 ล้านบาทภายใน 1 เดือน, วางระบบการดูแลราคาข้าวเปลือกใหม่ ผ่านโครงการต่างๆ เช่น โครงการชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก ฯลฯ ส่งผลให้ราคาตลาดข้าวในประเทศมีเสถียรภาพ
ส่วนการระบายสต็อกข้าวที่เป็นภาระตกค้างมากว่า 18 ล้านตัน ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.57 - 5 มิ.ย.60 สามารถระบายข้าวในสต็อกได้ 13.89 ล้านตัน มูลค่า 129,825 ล้านบาท คงเหลืออีกเพียง 3 ล้านตัน โดยจะพิจารณาจากปัจจัยด้านสภาวะตลาด โอกาสที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาข้าวในตลาด
ขณะที่การขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ได้ทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบจีทูจีกับรัฐบาล 3 ประเทศ รวม 3.46 ล้านตัน มูลค่ารวม 50,510 ล้านบาท ได้แก่ จีน 1.9 ล้านตัน, อินโดนีเซีย 655,000 ตัน และฟิลิปปินส์ 900,000 ตัน โดยส่งมอบเสร็จสิ้นแล้ว ยกเว้นสัญญากับจีนในปี 58 ปริมาณ 1 ล้านตัน ที่อยู่ระหว่างส่งมอบงวดที่ 4 ยังคงเหลืออีก 600,000 ตันที่จะต้องส่งมอบให้เสร็จสิ้น
สำหรับการขายข้าวของเอกชน ได้นำคณะภาคเอกชนเดินทางไปประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในตลาดคู่ค้าสำคัญ เช่น ฮ่องกง จีน สิงคโปร์ แอฟริกาใต้ ญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งในส่วนตลาดฮ่องกง สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดข้าวมาได้ หลังจากเสียส่วนแบ่งตลาดให้เวียดนาม โดยในปี 59 ฮ่องกงนำเข้าข้าวจากไทยเป็นอันดับ 1 ปริมาณ 330,000 ตัน คิดเป็นสัดส่วน 60% ของการนำเข้ารวม
นอกจากนี้ ไทยยังมีสัญญาณการสั่งซื้อข้าวไทยเพิ่มขึ้น ทั้งจากอิรัก อิหร่าน และฟิลิปปินส์ ที่ได้ประกาศจะเปิดประมูลนำเข้า 250,000 ตัน โดยรัฐบาลไทยจะเข้าร่วมประมูลขายข้าวแบบจีทูจีด้วย
"การดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ในช่วงรัฐบาล คสช. 3 ปีที่ผ่านมา ถือว่ามาถูกทาง เพราะผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมีความเป็นรูปธรรมชัดเจน โดยเฉพาะสถานการณ์จากนี้ จะเป็นช่วงขาขึ้นของราคาข้าว ตลาดเป็นของผู้ขาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นผลดี สะท้อนกลับไปสู่ชาวนาไทยให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น" รมว.พาณิชย์ กล่าว