นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นำเสนอบทความเรื่อง"วิกฤตเศรษฐกิจปี 40 จากอดีตสู่ปัจจุบัน" ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนตามการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าและบริการที่ได้รับผลดีจากเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายในประเทศยังไม่เข้าที่นัก โดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนที่จากข้อมูลล่าสุดยังคงหดตัว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่คนทั่วไปยังไม่รู้สึกว่าเศรษฐกิจดีขึ้น และการแชร์ข้อมูลที่ทำให้คนเข้าใจผิดว่าวิกฤตเศรษฐกิจแบบปี 40 กำลังจะกลับมาอาจทำให้ประชาชนไม่กล้าจับจ่ายใช้สอยและธุรกิจบางส่วนไม่กล้าลงทุน ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้าและไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น
บทความระบุว่า ในระยะหลังในช่วงกลางๆปีของทุกปี มักจะมีการแชร์ข้อมูลว่าเศรษฐกิจไทยสุ่มเสี่ยงที่จะกลับไปเป็นแบบปี 40 อีก โดยบ่อยครั้งเป็นการโยงกับการขาดทุนที่เกิดจากการแทรกแซงค่าเงินของ ธปท. ซึ่งในยุคของโซเชียลมีเดียที่ข่าวสารกระจายไปได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็ว อาจทำให้คนหลายๆคนเข้าใจผิดได้ ทั้งๆที่บริบทในปัจจุบันแทบจะกล่าวได้ว่าเป็นหนังคนละม้วนกับปี 40
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เหมือนกันในสถานการณ์ปัจจุบันและในปี 40 คือ มีการดูแลค่าเงินของธปท.เหมือนกัน และธปท.ดูเหมือนจะมีปัญหาทางการเงินที่เกิดจากการแทรกแซงค่าเงินเหมือนกัน แต่ในความเหมือนกันนี้มีความแตกต่างที่สำคัญ ได้แก่
ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่แตกต่างกัน โดยก่อนการลอยตัวค่าเงินบาท ไทยใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ทำให้ในยามที่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจไม่สอดคล้องกับค่าเงินที่ตรึงไว้ตกเป็นเป้านิ่งของการโจมตีค่าเงินได้ง่าย ต่างจากปัจจุบันที่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นแบบลอยตัวที่การเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนส่วนหนึ่งถูกกำหนดโดยกลไกตลาด ทำให้การโจมตีค่าเงินทำได้ยากกว่า
ปัญหาในตอนนั้นเป็นปัญหาเงินทุนไหลออก ซึ่งกดดันให้บาทอ่อน ขณะที่ปัจจุบันเป็นปัญหาของเงินทุนไหลเข้าซึ่งกดดันให้บาทแข็ง
"วันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ผมยังไม่ได้เป็นพนักงานธนาคารแห่งประเทศไทย แต่รับทุนธนาคารมาแล้ว ค่าเงินบาทที่อ่อนลงอย่างมากทำให้มูลค่าทุนที่ผมผูกพันกับธนาคารแห่งประเทศไทยในรูปของเงินบาทสูงขึ้นอย่างมาก แต่ในฐานะนักเรียนทุน ผมก็ทำงานชดใช้ทุนไปเรื่อยๆ ต่างจากบริษัท ห้างร้านต่างๆ ที่มีหนี้เป็นสกุลเงินต่างประเทศ ที่ไม่สามารถนำเงินมาชดใช้มูลค่าหนี้ที่สูงขึ้นได้ ทำให้ต้องผิดนัดชำระหนี้ และส่งผลสั่นสะเทือนสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ทั้งระบบ จนสถาบันการเงินหลายแห่งต้องล้มหรือแทบจะล้มละลายไปด้วย ทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ"นายดอน ระบุในบทความ
การแทรกแซงค่าเงินของ ธปท.ในภาวะเงินทุนไหลออก ใช้การขายสินทรัพย์หรือเงินสำรองระหว่างประเทศ ทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศลดลง ขณะที่การแทรกแซงในภาวะเงินทุนไหลเข้าใช้การซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศ ทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น การลอยตัวค่าเงินบาทในปี 40 เป็นผลจากการที่ ธปท.มองว่าเงินสำรองระหว่างประเทศเหลือไม่พอที่จะขายเพื่อปกป้องค่าเงิน ตามภาษาชาวบ้าน ที่ว่าหมดหน้าตัก
ขณะที่ในปัจจุบันเงินสำรองของ ธปท. (รวมสถานะการซื้อเงินตราต่างประเทศ ล่วงหน้า) มีมากกว่าสองแสนล้านเหรียญสหรัฐ สูงมากกว่ามาตรฐานสากลมาก ไม่ว่าจะวัดในตัวของมันเอง หรือเทียบกับมูลค่าการนำเข้า มูลค่าหนี้ต่างประเทศ หรือขนาดเศรษฐกิจ ดังนั้น ความมั่นคงด้านต่างประเทศของ ธปท.ในปัจจุบันจึงไม่น่าเป็นห่วง
ขณะที่การขาดทุนของ ธปท.ในปัจจุบันส่วนหนึ่งเป็นผลจากการตีราคาเงินสำรองระหว่างประเทศเป็นเงินบาท ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นทำให้เงินสำรองระหว่างประเทศที่แปลงเป็นสกุลเงินบาทมีมูลค่าลดลง โดยที่เงินสำรองในรูปของเงินดอลลาร์ไม่ได้หายไปไหน ยังมีให้ใช้เป็นจำนวนมาก
ในทางกลับกัน การอ่อนค่าของเงินบาทในปี 40 ทำให้ ธปท.มีกำไรจากการตีราคาค่าเงิน แต่เป็นกำไรที่เอามาใช้ไม่ได้ เพราะการดูแลค่าเงินต้องใช้เงินสำรองในรูปของเงินดอลลาร์ซึ่งตอนนั้นแทบไม่มีเหลือ
นอกจากนี้ ในปี 40 มีบริษัทที่ต้องปิดกิจการไปเพราะขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนทางบัญชี แต่การขาดทุนของธนาคารกลางแบบ ธปท.ต่างจากการขาดทุนของบริษัทหรือสถาบันการเงินทั่วๆไป เพราะธนาคารกลางมีความสามารถในการพิมพ์เงินเองได้ ซึ่งความสามารถในการดำเนินกิจการต่อไปเรื่อยๆ ของธนาคารกลางขึ้นกับความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางมากกว่าสถานะของงบดุล ซึ่งปัจจุบันความน่าเชื่อถือของ ธปท.เป็นจุดแข็งของประเทศที่บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศมักหยิบยกขึ้นมาเสมอ โดยที่การขาดทุนของธปท.มิได้เป็นประเด็นแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี ธปท. ตระหนักว่า การขาดทุนต่อเนื่องถึงจุดจุดหนึ่งก็อาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของธนาคารกลางได้ เพราะถึงจะพิมพ์เงินเองได้ แต่ถ้าธนาคารกลางสูญเสียความน่าเชื่อถือ เงินที่พิมพ์ออกมาก็ไม่มีค่า และนำไปสู่วิกฤตเงินเฟ้อในที่สุด
"ในปี 40 เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยถือว่าง่อนแง่นเป็นอย่างมาก โดยนอกจากเงินสำรองระหว่างประเทศจะร่อยหรอแล้ว ดุลบัญชีเดินสะพัด หรือผลต่างของรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการกับรายจ่ายในการนำเข้าสินค้าและบริการ ยังขาดดุลสูง โดยในปี 2539 ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 8% ของขนาดเศรษฐกิจ เทียบกับในปี 59 ที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 12% ของขนาดเศรษฐกิจ"นายดอน ระบุ
ท้ายที่สุด หลายจุดอ่อนสำคัญที่นำไปสู่วิกฤตปี 40 ได้ถูกปิดไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจุดอ่อนด้านความมั่นคงของระบบสถาบันการเงิน ด้านการพึ่งพาหนี้สกุลเงินต่างประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่มีจุดโหว่และไม่ทันการณ์ตัวอย่างของระบบการจัดเก็บข้อมูลที่ดีขึ้น เช่น การมีข้อมูลจีดีพีรายไตรมาสจากเดิมที่เป็นรายปี การจัดตั้งบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติที่ปัจจุบันขยายรวมถึงลูกหนี้ของธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ และการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ที่ทำให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการมีข้อมูลอุปสงค์และอุปทานของทั้งตลาด เป็นต้น