นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะนัดหารือร่วมกับ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และนายรพี สุจริตกุล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในเร็ว ๆ นี้ เกี่ยวกับประเด็นการแก้ไข พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฉบับใหม่ที่มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) เนื่องจากขณะนี้มีความเห็นทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับรูปแบบการจัดตั้งและการบริหารกองทุนดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม นายสมคิด กล่าวยืนยันว่า การกำหนดให้ใช้เงินของ ตลท.ในการจัดตั้งองทุน CMDF นั้น ไม่ใช่เพราะรัฐบาลถังแตกอย่างแน่นอน แต่ทุกอย่างเกิดจากแนวความคิดที่รัฐบาลต้องการเห็นตลาดทุนพัฒนาอย่างจริงจัง และเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต
"ผมยืนยันว่าทุกฝ่ายเจตนาดี และเราไม่ได้จะเอาเงินเหล่านั้นไปใช้จ่ายที่ไม่เป็นประโยชน์ ทุกอย่างมันมีสัดส่วน ส่วนที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ บอกว่าบางครั้งหากเงินมีน้อยก็อาจไม่พอที่จะพัฒนาตลาดได้ รมว.คลัง เองเลยบอกว่าให้เอาเงินจากกองทุนนี้ไปพัฒนา ซึ่งเร็วๆ นี้คงต้องหารือร่วมกัน เพื่อให้ได้ข้อยุติ ซึ่งผมมั่นใจว่าจะจบได้ดีอย่างแน่อน"นายสมคิด กล่าว
ส่วนการแข็งค่าของเงินบาทในขณะนี้ นายสมคิด กล่าวว่า ไม่ได้กังวลใจ เพราะเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถบริหารจัดการได้ แต่แนะนำให้ผู้ประกอบการหันไปให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ แทนที่จะเน้นแข่งขันด้านราคาเท่านั้น
"อาจกระทบต่อการส่งออกบ้างเล็กน้อย แต่อยากให้ภาคเอกชนไม่ต้องกังวลในเรื่องดังกล่าว เพราะค่าเงินบาทเป็นสิ่งที่ ธปท. ดูแลได้ดีอยู่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ภาคเอกชนเองต้องเร่งพัฒนาคุณภาพของสินค้า โดยเฉพาะการสร้างมูลค่าเพิ่ม นำนวัตกรรมมาใช้ เพื่อรองรับกับการแข่งขันในตลาด" นายสมคิด กล่าว
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ยืนยันว่า การจัดตั้งกองทุน CMDF ไม่ได้เป็นการสร้างปัญหาให้กับตลาดทุน โดยเฉพาะเงินที่ ตลท.ต้องนำส่งเข้ากองทุนทุกปีก็เพื่อนำไปพัฒนาตลาดทุน
สำหรับในประเด็นเรื่องของคณะกรรมการกองทุน CMDF นั้น พร้อมจะเปิดรับคณะกรรมการจากเอกชน หากเป็นความต้องการจากหลายฝ่าย แต่คณะกรรมการส่วนใหญ่จะต้องเป็นคนของรัฐที่จะเข้ามาดูแลเงินกองทุน
"เราไม่ได้ต้องการให้ตลาดมีปัญหา ซึ่งเงินที่พัฒนาตลาดทุนก็จะมาจากเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อนำมาพัฒนาตลาดทุนต่อไปในอนาคต เราเพียงต้องการแยกส่วนงานของตลาดให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น ขณะที่คณะกรรมการก็จะมีหน้าที่ดูแลเงิน ตามนโยบายตลาดทุนแห่งชาติ หากใครมีไอเดียที่ดีในการส่งเสริมและพัฒนาตลาดทุน ก็สามารถมาเอาเงินจากกองทุนนี้ได้ สอดคล้องตามแผนแม่บท โดยยืนยันว่าคลังไม่ได้ถังแตก และไม่มีการนำเงินของตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้าคลังแน่นอน" รมว.คลัง ระบุ
อย่างไรก็ตาม กฎหมายนี้จะเปลี่ยนบทบาทของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ด้วย ในการมีหน้าที่รับผิดชอบตลาดทุน
"ในอดีตที่ผ่านมาต่างคนต่างทำ ก.ล.ต. ไม่มีเงินก็ไม่ได้พัฒนาอะไร ส่วนตลาดหลักทรัพย์ฯ มีเงินก็นำเงินไปทำอย่างอื่นที่ไม่ถูกต้อง เราจึงรวมศูนย์ รวมคนคิด รวมคนทำ เพื่อทำกิจกรรมที่ประหยัดงบ"นายอภิศักดิ์ กล่าว