ฝ่ายส่งเสริมธุรกิจและกำกับดูแลโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.80-34.15 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดแข็งค่าที่ 33.96 บาทต่อดอลลาร์ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยมูลค่า 1.2 พันล้านบาท แต่ซื้อพันธบัตรสูงถึง 1.2 หมื่นล้านบาท ในระยะนี้ ภาพรวมปริมาณธุรกรรมการซื้อขายในตลาดการเงินโลกค่อนข้างเบาบา งเนื่องจากสหรัฐฯ เข้าสู่ช่วงฤดูร้อนและตลาดยังขาดปัจจัยใหม่ๆ โดยคาดว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะแกว่งตัวในช่วงแคบๆ ต่อไปในสัปดาห์สุดท้ายของไตรมาสสอง
ปัจจัยชี้นำสำคัญจะอยู่ที่การกล่าวสุนทรพจน์ของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งคาดว่าจะเน้นย้ำมุมมองที่ว่าการตัดสินใจด้านนโยบายของเฟดจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจเป็นหลัก นอกจากนี้ สหรัฐจะรายงานจีดีพีไตรมาส 1/2560 รอบสุดท้ายในวันที่ 29 มิถุนายน 2560 รวมถึงการใช้จ่ายบริโภคส่วนบุคคล ซึ่งเฟดมักจะใช้เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับลงมาแล้วราว 20% นับตั้งแต่ต้นปี ทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อจากต้นทุนการผลิตลดต่ำลง ซึ่งอาจส่งผลให้ธนาคารกลางต่างๆ ทบทวนการขึ้นดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอาจปรับลงต่อเนื่อง
สำหรับปัจจัยในประเทศ มูลค่าส่งออกและนำเข้าเดือนพฤษภาคมของไทยเติบโตแข็งแกร่งเกินคาดที่ 13.2% และ 18.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ โดยยอดส่งออกสะท้อนการฟื้นตัวในทุกตลาดและสินค้าหลัก ทั้งนี้ ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าส่งออกเติบโต 7.2% สูงสุดในรอบ 6 ปี ส่วนในระยะที่เหลือของปี อัตราการเติบโตอาจชะลอลงเนื่องจากราคายางปรับลดลงและฐานครึ่งหลังของปี 2559 ที่ใช้เปรียบเทียบค่อนข้างสูง
สำหรับปาฐกถายุทธศาสตร์ Thailand’s Big Strategic Move เกี่ยวกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ มองว่า จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับคืนมา โดยเฉพาะในเรื่องความคืบหน้าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หลังจากไทยประกาศการลงทุนเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ด้วยวงเงินลงทุนกว่า 2.4 ล้านล้านบาทในช่วงเวลา 5 ปีข้างหน้า ส่วนในระยะยาว การสร้างฐานพัฒนาโดยใช้โมเดลไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเน้นการสร้างคุณค่าและนวัตกรรมจะเป็นเครื่องพิสูจน์ศักยภาพด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงในระยะถัดไป