(เพิ่มเติม) "สมคิด"ถกคณะทำงานประชารัฐ จี้ ตลท.ดึง บจ.แก้ไขปัญหาสังคม-สั่งปั้น PPP บ้านผู้มีรายได้น้อย

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday June 28, 2017 17:39 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะทำงานประชารัฐเพื่อสังคม(E6) ครั้งที่ 2/2560 เพื่อหารือและติดตามความก้าวหน้าประเด็นเร่งด่วนที่คณะทำงานฯ ได้แก่ 1.การจ้างงานผู้พิการ 2.การจ้างงานผู้สูงอายุ 3. การส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณอายุ 4.ที่อยู่อาศัยผู้สูงอายุ และ 5.ความปลอดภัยบนท้องถนน หรือ “5 Quick Win" ที่ดำเนินการตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา

นายสมคิด กล่าวว่า การดำเนินงานของคณะทำงาน E6 มีความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะด้านการจ้างงานผู้พิการและผู้สูงอายุ มีอัตราการจ้างงานมากกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ มีหน่วยงาน องค์กรใหม่ๆ สนใจเข้ามาร่วมและขยายการดำเนินงาน เช่นกลุ่มบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งนายชิโร ซะโดะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้มาร่วมนำเสนอรูปแบบการทำงานด้านการจ้างงานผู้พิการ ผู้สูงอายุ และการร่วมมือด้านความปลอดภัยทางถนนของประเทศญี่ปุ่นที่ได้ดำเนินงานร่วมกับบริษัทเอกชนในประเทศจนประสบความสำเร็จแล้ว และพร้อมให้ความร่วมมือกับประเทศไทยในการดำเนินงานตามนโยบายประชารัฐเพื่อสังคม แต่อยากให้มีความชัดเจนถึงแนวทางความร่วมมือกับภาคส่วนเหล่านี้

ดังนั้น จึงได้มอบหมายให้คณะทำงาน E6 ไปศึกษาเพิ่มเติมประเด็นปัญหาในระดับพื้นที่ เพื่อกำหนดแนวทางความร่วมมือเพิ่มเติมกับกลุ่มองค์กรเหล่านี้ เมื่อมีแนวทางที่ชัดเจนแล้วในส่วนของกระทรวงการคลังจะไปพิจารณาว่าจะต้องมีกระบวนการสนับสนุนอย่างไร เช่น มาตรการช่วยเหลือด้านภาษี เพื่อเป็นการจูงใจให้หน่วยงาน องค์กรเหล่านี้ร่วมเป็นภาคีขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาในระดับชุมชนพื้นที่ต่อไป เพราะเรื่องของคุณภาพชีวิต มีทั้งมิติสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ทุกฝ่ายจึงต้องมาร่วมมือกัน

“ฝากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรียกบริษัทที่จดทะเบียน 500 กว่าแห่ง จัดประชุมสัมมนาเพื่อชี้เป้าว่าบริษัทเอกชนแต่งละแห่งสามารถช่วยเหลือประเทศแก้ไขปัญหาสังคมในประเด็นใดได้บ้าง เรียกเข้าแถวมากวดวิชาให้บริษัทได้ตื่นตัว เพราะบางครั้งบริษัทเอกชนก็อยากช่วยแต่ก็ไม่รู้จะเข้ามาช่วยด้านไหน อย่างไร ดังนั้นถึงเวลาแล้วถึงจะต้องมาร่วมมือกัน จ้างงานผู้อายุ ผู้พิการ สร้างงานในชุมชน วันนี้บริษัทเอกชนต้องเข้ามา เพราะรัฐบาลเองมีการปรับลดภาษีแล้ว ก็ต้องคืนสู่สังคมบ้าง

ส่วนตัวแล้วก็รู้สึกผิดหวังกับภาคส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะได้เคยไปเชิญมาร่วมมือกันทำงานประชารัฐแล้วแต่ผ่านมากว่า 1 ปี ก็ยังไม่เห็นความคืบหน้า ซึ่งประเด็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยฯ ภาคธุรกิจอสังหาฯ สามารถช่วยได้มาก เพียงแต่ลดกำไรลงบ้างและช่วยกันเพื่อสังคม"นายสมคิด กล่าว

นายสมคิด ยังได้มอบหมายให้กรมธนารักษ์ การเคหะแห่งชาติ (กคช.) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ไปหารือร่วมกันถึงรูปแบบโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด โดยให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม และพิจารณาแนวทางในการนำโครงการเข้าสู่รูปแบบเอกชนเข้าร่วมทุน PPP ด้วย เนื่องจากนายกรัฐมนตรีต้องการให้คนมีรายได้น้อยมีบ้าน ซึ่งหากเป็นไปได้อยากให้เห็นเป็นรูปธรรมในปีนี้หรืออย่างช้าในปี 61

ด้านนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า กลุ่มบ้านต่างจังหวัด หากโครงการเข้าข่ายในรูปแบบการร่วมทุนของภาคเอกชนในกิจการของรัฐก็สามารถเข้า PPP ได้ เพราะรูปแบบไม่แตกต่างจากโครงการบ้านประชารัฐ ซึ่ง PPP ถือเป็นเครื่องมือในการดำเนินโครงการให้เร็วยิ่งขึ้น โดยต้นแบบจะทำในกรุงเทพฯ ก่อน และในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ จะมีการประชุมร่วมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อวางกรอบแนวทางเรื่องการดำเนินการบ้านมั่นคง ที่ให้เอกชนเข้ามาร่วมสนับสนุน

ด้าน นพ.ประเวศ วะสี ที่ปรึกษาคณะทำงานฯ กล่าวว่า ขณะนี้เป็นโอกาสของคนไทยที่จะทำเรื่องใหญ่ที่ติดขัดมานาน เมื่อรัฐบาลประกาศยุทธศาสตร์ประชารัฐเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก เป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ของประเทศไทย 2 เรื่องคือ 1.เปลี่ยนทิศทางการพัฒนา จากการพัฒนาจากบนลงล่าง เป็นการเน้นให้รากฐานแข็งแรงซึ่งจะเป็นจุดเริ่มสำคัญในการแก้ปัญหาด้านต่างๆ และ 2.เป็นความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งรัฐและประชาชน จากเดิมที่คิดว่ารัฐเท่านั้นที่มีหน้าที่พัฒนาประเทศ เป็นการร่วมมือกันทั้งรัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม เพราะปัญหาสังคมมีความซับซ้อน ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลสนับสนุนกลไกเครือข่ายจิตอาสาให้เกิดขึ้นเต็มแผ่นดิน เพื่อเป็นเครื่องมือในการทำงานประเด็นต่างๆ ในพื้นที่ต่อไป

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ในฐานะหัวหน้าทีมภาครัฐ กล่าวว่า การดำเนินงานของคณะทำงาน E6 มีความก้าวหน้าที่เป็นรูปธรรม และมีผลงานที่วัดได้ทั้งในเชิงมาตรการ และเชิงปริมาณเมื่อเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะด้านการส่งเสริมการมีรายได้และมีงานทำของผู้พิการและผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจุบันเกิดการจ้างงานผู้พิการภายใต้ความร่วมมือประชารัฐแล้วกว่า 7,500 อัตรา นอกจากนี้ยังมีองค์กรใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ความสนใจเข้าร่วม ทำให้เกิดการต่อยอดไปยังประเด็นอื่นๆ ไม่จำกัดอยู่แค่ 5 ประเด็น quick win และขยายไปสู่พื้นที่โดยอาศัยการเชื่อมประสานกับคณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ(E3) และกลไกในพื้นที่ของ พม., มหาดไทย หรือหน่วยงานรัฐอื่นๆ รวมถึงภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุน และอำนวยความสะดวกในการดำเนินการอย่างเต็มที่

นายสุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ในฐานะหัวหน้าทีมภาคประชาสังคม กล่าวว่า ภาคประชาสังคมทำหน้าที่สนับสนุนด้านวิชาการ และเครือข่ายการทำงานเชิงประเด็นร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชน ใน 5 ประเด็นเร่งด่วน ได้แก่ 1. การหนุนเสริมข้อมูลและเครือข่ายคนพิการ 2.การสนับสนุนการจ้างงานแรงงานผู้สูงอายุในภาครัฐ ภาคเอกชน และการทำงานอาชีพอิสระ 3.การประสานความร่วมมือระหว่างเครือข่ายแรงงานนอกระบบ และเครือข่ายภาคประชาชน ขับเคลื่อนและส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณ

4.การพัฒนาที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมเพื่อการอยู่อาศัย ทั้งการพัฒนาชุมชนต้นแบบตามแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคน การพัฒนาแผนระยะกลางและระยะยาวเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ปัจจุบันมีการนำร่องการปรับปรุงสภาพแวดล้อมตามหลักอารยสถาปัตถ์(Universal Design) ที่ จ.ลำปาง มีการรวบรวมแบบบ้าน และจัดทำคำแนะนำสำหรับการก่อสร้างที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุและผู้พิการแล้ว โดยปัจจุบันธนาคารรัฐมีนโยบายออกสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงอายุแล้ว และอยู่ระหว่างพิจารณาเสนอกระทรวงการคลังออกมาตรการจูงใจทางภาษีสำหรับค่าใช้จ่ายในการปรับปรุง ซ่อมแซมที่อยู่อาศัยเพื่อผู้สูงอายุ

5.การสนับสนุนข้อมูลวิชาการและเครือข่ายในการรณรงค์สร้างความตระหนักส่งเสริมความปลอดภัยทางถนน ได้ลงนามความร่วมมือ(MOU) ประชารัฐร่วมใจปลอดภัยทุกเส้นทางร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 55 องค์กร และอยู่ระหว่างผลักดันให้เกิดการแต่งตั้ง “เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยทางถนน (จปถ.) ภายในองค์กรเพื่อกำหนดดูแลการใช้รถใช้ถนนของบุคลากร นอกจากนั้นยังมีการเสนอให้พิจารณาขยายผลนโยบายเพื่อความปลอดภัยทางถนน โดยกำหนดให้การ “เมาแล้วขับ" ถือเป็นความผิดวินัยในองค์กร และต้องมีการควบคุมพฤติกรรมการขับขี่ของพนักงาน อาทิ ขับรถในอัตราที่กฎหมายกำหนด สวมหมากนิรภัยทุกครั้งที่ขับชี่ คาดเข็มขัดนิรภัย เป็นต้น

สำหรับการศึกษาแนวทางการพัฒนากลไกระบบการคลังเพื่อสังคม(Social impact finance) ตามที่รองนายกฯ ได้มอบหมายให้คณะทำงานฯ ไปศึกษารายละเอียดร่วมกับภาคีวิชาการ เพื่อเป็นทางเลือกของการสนับสนุนงบประมาณในการทำงานด้านการพัฒนาสังคมนั้น จากการวิเคราะห์แนวทางได้มีการเสนอรูปแบบความร่วมมือที่เน้นผลลัพธ์เพื่อสังคม โดยภาคเอกชนและองค์กรที่สนใจจะร่วมลงทุนในโครงการที่มีเป้าประสงค์ที่ชัดเจนในการดำเนินงานเพื่อพัฒนาสังคม ซึ่งจะต้องมีการกำหนดโจทย์ร่วมกัน ดังนั้น รองนายกฯ จึงได้มอบหมายให้หารือเพิ่มเติมร่วมกับกระทรวงการคลัง โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สมาคมธนาคารไทยมาร่วมหารือแนวทางขับเคลื่อนต่อไป

นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานอาวุโสหอการค้าไทย ในฐานะหัวหน้าทีมภาคเอกชน กล่าวว่า ก้าวต่อไปของการขับเคลื่อนงานประชารัฐเพื่อสังคม ภาคเอกชนจะขยายความร่วมมือไปยังเครือข่ายนอกกลุ่มประชารัฐเพื่อสังคม อาทิ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สมาคมการค้า ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการในส่วนภูมิภาค รวมถึงการกำหนดเป้าหมายในการขยายความร่วมมือกับบริษัทต่างประเทศในประเทศไทย โดยเฉพาะการขยายการจ้างงานคนพิการไปยังกลุ่มบริษัทญี่ปุ่น โดยขับเคลื่อนร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ซึ่งเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นฯ ได้ให้เกียรติเข้าร่วมด้วย

นอกจากนี้จะประสานความร่วมมือระหว่างคณะทำงาน E3 และคณะทำงาน E6 เพื่อขับเคลื่อนการทำงานเชิงพื้นที่ผ่านกลไกการทำงาน และโครงการต่างๆ เช่น บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี ที่มีอยู่ทุกจังหวัด โดยเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือของ 2 คณะทำงานตามแนวทางประชารัฐ จะเสริมพลังการทำงานและมีส่วนช่วยสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจและสังคมไทยได้ในระดับหนึ่ง

ทั้งนี้ ในการประชุมดังกล่าวยังมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บมจ.ปตท. (PTT) เข้าร่วมกว่า 150 คน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ