นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ ประเมินว่าปีนี้มีแนวโน้มจะส่งออกข้าวได้สูงถึง 11 ล้านตัน จากเป้าหมายที่ตั้งไว้เพียง 10 ล้านตัน ถือว่าสูงกว่าที่เคยทำสถิติไว้เมื่อปี 57 ที่ส่งออกได้ 10.97 ล้านตัน เนื่องจากสถานการณ์ข้าวของไทยในขณะนี้ เป็นช่วงขาขึ้นอย่างชัดเจน และมีปริมาณการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-27 มิ.ย.60 สามารถส่งออกได้แล้ว 5.9 ล้านตัน ปริมาณเพิ่มขึ้น 20% มูลค่า 87,787 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% ซึ่ง
ส่วนราคาข้าวไทยยังปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและดีกว่าปีก่อน โดยล่าสุดราคาส่งออกข้าวขาว 5% อยู่ที่ตันละ 458 เหรียญฯ จากปีก่อนที่ตันละ 440 เหรียญฯ, ข้าวนึ่งตันละ 476 เหรียญฯ จากปีก่อนตันละ 460 เหรียญฯ และข้าวหอมมะลิตันละ 778 เหรียญฯ จากปีก่อนตันละ 700 เหรียญฯ ขณะที่ราคาข้าวเปลือกในประเทศปรับตัวสูงขึ้น โดยข้าวเปลือกเจ้าตันละ 8,700-8,900 บาท และข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 10,000-11,000 บาท
"ปัจจัยที่ทำให้ตลาดข้าวไทยเป็นขาขึ้น เพราะรัฐบาลดำเนินนโยบายถูกทาง ทั้งการดูแลเกษตรกร การเร่งระบายข้าวในสต๊อก ที่จนถึงขณะนี้ ระบายอีกแค่ครั้งหรือสองครั้ง ก็จะไม่มีข้าวเหลือในสต๊อกแล้ว ทำให้แรงกดดันต่อตลาดข้าวไทยหมดไป และดึงให้ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง" นางอภิรดี กล่าว
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีหลายประเทศได้ติดต่อขอซื้อข้าวไทยอย่างต่อเนื่อง ถือได้ว่าเป็นปีที่ดีในด้านการค้าข้าวของไทย โดยตลาดสิงคโปร์ และฮ่องกง ที่ไทยเคยถูกคู่แข่งแย่งส่วนแบ่งตลาดไปในช่วงที่รับจำนำข้าวราคาสูง และคุณภาพข้าวไทยไม่ดี แต่ตอนนี้ไทยทวงคืนส่วนแบ่งตลาดกลับมาได้หมดแล้ว ส่วนประเทศที่เลิกซื้อข้าวไทยก่อนหน้านี้ เพราะมีปัญหาด้านคุณภาพก็กลับมาซื้อแล้ว ทั้งอิรัก อิหร่าน ขณะเดียวกันศรีลังกาและบังคลาเทศ แจ้งว่าต้องการข้าวไทยประเทศละ 200,000 ตัน อีกทั้งยังมีสัญญาต้องส่งมอบข้าวให้จีนในส่วนที่เหลืออีก 500,000 ตัน และจะเข้าร่วมประมูลข้าวให้ฟิลิปปินส์ที่จะเปิดประมูลเร็วๆ นี้ด้วย
ส่วนการเตรียมมาตรการรองรับข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 60/61 รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า จากการหารือกับเกษตรกรและโรงสีถึงมาตรการที่รัฐควรปรับปรุงในการให้ความช่วยเหลือนั้น ส่วนใหญ่ยืนยันว่ามาตรการที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีความเหมาะสมแล้ว ทั้งมาตรการช่วยลดต้นทุน มาตรการรับจำนำยุ้งฉาง โดยกระทรวงฯ จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดนำเสนอให้คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) พิจารณาต่อไป